วันเสาร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2552

Shortcut for high priority

Target in Properties Shortcut 'C:\WINDOWS\system32\cmd.exe /C "start /HIGH (ไฟล์EXEที่ต้องการ)"

วันศุกร์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2552

ลดขนาดไฟล์ Flash(swf)

ว็บไซต์ในปัจจุบันมักจะมี flash เป็นส่วนประกอบไม่มากก็น้อย เพราะ flash มันดึงดูดความสนใจ ทำให้เว็บดูไม่นิ่ง น่าเบื่อเกินไป แต่ไฟล์แฟลชบางทีมันมีขนาดใหญ่เกิน ซึ่งมันก็ขัดกับการทำเว็บไซต์ที่มันควรจะเบาๆ เว็บจะได้โหลดได้เร็วๆ

* การที่จะทำให้ไฟล์แฟลชมีขนาดเล็กลง รูปภาพที่จะนำมาใช้ควรจะ optimize แล้ว
* เวลา Export ในแฟลชควรตั้ง Quility ให้ต่ำลงหน่อย


รูปภาพที่จะนำมาใช้ควรจะ optimize แล้ว

.
Optimize คือ การลดความละเอียดของภาพให้ได้ต่ำที่สุดโดยที่ยังมีคุณภาพที่ดีอยู่
เราใช้ save for web ใน photoshop เพราะเวลาปรับ quility จะได้เห็นภาพด้วยว่าปรับได้มากสุดขนาดไหนภาพถึงไม่แตก และยังรู้ขนาดไฟล์อีกด้วย


เวลา Export ในแฟลชควรตั้ง Quility ให้ต่ำลงหน่อย

.
ในโปรแกรมแฟลช ไปที่ File > Publish setting > Flash > JPEG Quility
optimize_flash.jpg

การทำ Background โปร่งใส ให้ไฟล์ Flash (SWF)

แต่ก่อนเคยมีปัญหามากครับตอนที่ทำ Flash แล้วพื้นหลังมันเป็นสีขาวไม่โปร่งใสทำให้ออกมาแล้วดูไม่สวย..พอดี๊พอดีไปเจอ บทความนี้เข้าก็เลยมาโพตใว้เผื่อเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆนะครับ..



สำหรับ คนที่ยังนึกไม่ออกว่าพื้นหลังโปร่งใส หรือ Transparency Background นั้นคือ อะไรให้ดูรูปด้านบนนี้ครับ ถ้าเราวาดรูปลิงในโปรแกรม Flash เมื่อ Publish ออกมาเป็นไฟล์ .swf แล้วนำไปวางบนหน้าเว็บเพจ มันจะมีพื้นหลังที่เป็นกรอบสีขาวติดมาด้วยแบบรูปด้านขวา แต่ถ้าเราไม่ต้องการให้เป็นเช่นนี้ ก็ต้องกำหนดค่าเว็บเพจนั้นแสดงผลไฟล์ Flash โดยให้มีพื้นหลังเป็นแบบโปร่งใส หรือ Transparency แบบรูปด้านซ้ายครับ

วิธีทำ สามารถทำได้ 3 วิธี ดังนี้


วิธีที่ 1 - ตั้งค่า Publish Settings ในโปรแกรม Flash



1. เลือกเมนู Flie >> Publish Settings… (หรือกด Ctrl+Shift+F12)
2. จะมีหน้าต่าง Publish Settings ขึ้นมาให้เลือกแถบ HTML
3. ในช่อง Window Mode ให้เลือก “Transparency Windowless” แล้วกดปุ่ม OK
4. เมื่อตั้งค่าเรียบร้อยแล้วก็ Publishไฟล์ HTML และ SWF ออกมาได้เลยครับ

วิธีที่ 2 - ตั้งค่าในการแสดงผลไฟล์ Flash ในโปรแกรม Dreamweaver





1. ใส่ไฟล์ Flash ลงในหน้าเว็บเพจโปรแกรม Dreamweaver ตามปกติ
2. คลิ๊กขวาบนไฟล์ Flash แล้วเลือก Parameters…
3. จะมีหน้าต่าง Parameter ขึ้นมา ในฝั่ง Parameter ให้ใส่ว่า “wmode” ส่วนฝั่ง Value ให้ใส่ว่า “transparent”
4. คลิ๊กปุ่ม OK แค่นี้ก็เสร็จแล้วครับ

TeamViewer V3

โปรแกรม มีด้วยกัน 2 ส่วน นะครับ
1. ส่วน Admin คือส่วนคนที่จะ Remote Helpdesk
2. ส่วน Client คือส่วน ที่อยู่หน้าเครื่องที่มีปัญหา

โปรแกรม
โปรแกรม Admin = http://www.teamviewer.com/download/TeamViewer_Setup.exe
โปรแกรม User = http://www.teamviewer.com/download/TeamViewerQS.exe

คู่มือ Eng ส่นไทย มีไฟล์ติดตั้ง แนบมาด้วย
http://www.teamviewer.com/help/teamviewer_manual.pdf

การใช้งาน
หนักการ ง่ายๆ คือ การ Remote ไปยัง Client ที่ Online Internet
โดยผ่าน Server หลางที่เป็น Pools ซึ่ง เหมือนกับ โปรแกรม Skype Phone

เมื่อ helpdesk เปิด โปรแกรม Admin ขึ้นมา มันก็จะเข้าไปที่ Server ของ Teamviewer
และ เมื่อ Client เปิด โปรแกรม มันก็จะเข้าไปที่ Server ของ Teamviewer เช่นกัน
การคุยของมัน ก็จะขึ้นอยู่ กับว่า ID และ Password ที่คุย ถูกต้อง หรือเปล่า

ID ก็เท่ากับเป็น IP ของเครื่องเราแหละ

ทั้งนี้
Helpdesk ต้องทราบ ID และ รหัสผ่าน ของ Client ที่จะเข้าไป Support นะครับ

โปรแกรมนี้ Work ดีเหมือนกัน Secure ระดับนึง
แถมมัน VPN ได้ด้วย เหมาะ กับหารทำงาน ที่บ้านเข้ามาที่ Office นะครับ

ผมใช้ AIS GPRS Net ก็ วิ่งได้นะ เร็วเหมือนกัน

โปรแกรมดีอย่างคือ Chat ได้ และ สลับ หน้าจอ ได้ เขาดูหน้าเรา เราดูหน้าเขา
เหมาะกับการ เข้าไปสอนงาน หรือ ช่วยเหลือเวลา เครืองมีปัญหา


อย่าลืม ต้องต่อเนตให้ได้
แต่ถ้าเข้าโปรแกรม แล้วไม่ได้ ID ลอง Reset Windows firewall นะครับ

ทดสอบ Virtual Server โดยตั้งเครื่องที่บ้าน ใช้ ADSL 2.5MB

อิอิ วันนี้ตั้งหัวข้อ blog เลียนแบบคุณตั้มเมื่อหลายวันก่อนเรื่อง ทดสอบ Virtual Server โดยตั้งเครื่องที่บ้าน ใช้ ADSL 2.5MB ซะงั้น โดยคุณตั้มอธิบายการตั้ง Server จำลองโดยใช้เครื่อง G4 ที่บ้านเป็น WebServer โดยขั้นตอนการติดตั้งแบบคุณตั้มนั้น เข้าไปอ่านกันเองนะครับ

แต่คราวนี้มาลองทำ WebServer อีกแบบนึงบ้างดีกว่า สืบเนื่องจากช่วงนี้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ พูดถึงบริการของเว็บไซต์ no-ip.com ผมก็เลยได้โหลดโปรแกรมมาลองมั่ง พอเล่นไปเล่นมาก็ เออ..มันน่าสนุกแฮะ จริงๆ แล้วบริการของ no-ip.com ก็คือบริการ free domain และ redirect domain name อะไรทำนองนั้น แต่นี่มันเป็นการ redirect มายังเครื่องของเรา โดยทั้งหมดไม่ต้องเสียค่าบริการอะไรเลย (ถ้าไม่คิดมากนะ :p)

เริ่ม ต้น สิ่งที่ต้องมี: 1) คอมพิวเตอร์ที่ต่ออินเตอร์เนตได้ (ในตัวอย่างนี้ใช้ iMac G4/Mac OS X 10.4.6 ถ้าใครใช้ระบบอื่น อาจต้องพลิกแพลงเอาหน่อยนะครับ) 2) อินเตอร์เนต - ควรจะเป็น ADSL เพราะถ้าเกิดมีคนเข้ามาเปิดดูเยอะๆ อาจทำให้การจราจรติดขัดได้ 3) router ที่สามารถทำการ forward port ได้ ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับการนำเสนอของแต่ละคนแล้ว

กลับมาที่เรื่องการสมัครใช้บริการ no-ip.com เริ่มต้นก็เข้าไปที่ www.no-ip.com เลือกสมัครสมาชิก (Sign-up Now!)

image

จาก นั้นก็กรอกข้อมูลที่เว็บต้องการ หลังจากใส่ข้อมูลครบถ้วนก็คลิกที่ปุ่ม SIGN UP NOW ด้านล่าง ทางเว็บก็จะให้เรานั้นยืนยันการใช้งานผ่านทางอีเมลที่เราได้กรอบเอาไว้ในตอน แรก

image

เพียง ไม่นานทางเว็บไซต์ก็จะส่งอีเมลมา (อาจจะต้องเช็คใน Junk Mail ด้วย) เราก็ทำการยืนยันการใช้งาน หลังจากนั้น ก็ทำการ Login เข้าใช้งาน ทางเว็บจะให้เราเลือกดาวน์โหลดโปรแกรม No-IP Update Client โดยเราต้องเลือกว่าเราใช้ระบบปฏิบัติการไหน

image

image

เข้า ไปในส่วน Add a Host (จากเมนูด้านซ้ายมือ Hosts/Redirects - Add) ให้ทำการตั้งชื่อเว็บของเราได้ตามใจชอบ แต่มีข้อจำกัดบางอย่าง ชื่อแรกจะต้องไม่ซ้ำกับคนที่เลือกไปก่อนแล้ว ส่วน server ที่ใช้มีทั้งแบบธรรมดา และแบบ plus ตอนเลือกก็เช็คให้ดีนะครับ เมื่อเลือกได้แล้วก็ทำการ Create Host

image

Create Host เสร็จแล้วก็มาทำการเช็คว่า มีชื่อเว็บเราในระบบหรือยัง เข้าไปดูที่ Hosts/Redirects - Manage สังเกตว่าจะมีชื่อโดนเมนที่เราเลือกเอาไว้ พร้อมกับ IP (ตรงนี้ต่อไปจะต้องใช้โปรแกรมที่ดาวน์โหลดมา เพื่อทำการอัพเดทเลข IP) เราจะแก้ไขหรือลบชื่อโดเมนก็ได้ตามสะดวก

image

เมื่อ จัดการข้อมูลในเว็บเสร็จแล้ว ก็กลับมาตั้งค่าต่างๆ ภายในเครื่องบ้างเริ่มจากเปิด Personal Web Sharing ในส่วนของ System Preference - Sharing

image

ตอน นี้ก็ลองเช็คว่าหลังจากเปิด Web Sharing แล้วใช้การได้หรือไม่ ลองเปิด browser แล้วพิมพ์ http://localhost ใน address bar แล้ว enter ดูว่า เปิดได้หรือไม่ หากเปิดได้เป็นไฟล์แนะนำเว็บไซต์ก็ถือว่าสามารถเรียกใช้งานได้แล้ว

image

แต่ การทดสอบข้างต้นเป็นการลองเปิดด้วยเครื่องเราเอง คนอื่นยังไม่สามารถเข้ามาดูได้ จะต้องการการ forward port เสียก่อน โดยการ forware port นั้นสามารถดูวิธีการของแต่ละยี่ห้อ แต่ละรุ่นของ router ที่คุณใช้งานอยู่ ในส่วนนี้เช็คได้จาก www.portforward.com

image

เข้าไปที่หัวข้อ Forwarding ตามหายี่ห้อ และรุ่นของ router ที่เราใช้ จากนั้นก็ทำตามคู่มือเลยครับ

image

เมื่อดำเนินการเรียบร้อยจะมีรายละเอียดประมาณนี้ โดยแต่ละยี่ห้อจะมีหน้าตาไม่เหมือนกัน -- คำเตือน: การ forward port เป็นการลดระดับการรักษาความปลอดภัยลงมา การทำแบบนี้อาจมีผลต่อเครื่องของคุณได้ ทาง blog นี้ไม่รับประกันความเสียหายหลังจากที่คุณได้ทำตาม ก่อนทำกรุณาใช้วิจารณาญาณ และการตัดสินใจของตัวท่านเอง :p

image

ขั้น ตอนสุดท้ายของการตั้ง server ที่บ้าน ก็ทำการ install โปรแกรมที่ดาวน์โหลดมา หลังจากติดตั้งเรียบร้อย ก็เปิดทำการ โดยโปรแกรมจะถาม password ของเครื่อง จากนั้นก็จะทำการ login โดยให้เรากรอก email และ password ที่เคยได้สมัครไว้กับทางเว็บ no-ip.com

image

จาก นั้นให้เราทำการอัพเดท IP ของชื่อโดเมนเรา โดยไปเลือกที่หมวด Hosts ทำการ Reload Hosts และทำเครื่องหมายหน้า Host ที่ต้องการ หลังจากนั้นก็ไปทำการ Update IP ด้วยการคลิกปุ่ม Update Now โปรแกรมก็จะทำการส่ง IP ใหม่ของเราไปอัพเดทกับฐานข้อมูลในเว็บ no-ip.com

image

image

เท่านี้ก็ใช้ได้แล้ว โดยข้อมูลที่จะถูกแสดงเป็นหน้าเว็บจะถูกเก็บไว้ในโฟลเดอร์ /Library/WebServer/Documents นะครับ

image

อันนี้คือตัวอย่างที่ลอง setup ขึ้นมาครับ: http://macintosh.no-ip.info -- หมายเหตุ: เว็บไซต์ที่ setup ใหม่นี้ จะสามารถเข้าใช้งานได้หรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับว่าเครื่องคอมที่เก็บข้อมูลเว็บไซต์นั้นได้ถูกเปิดใช้งานอยู่ ด้วย

วิธีจำลองเครื่องที่บ้านให้เป็น Server, เพื่อใช้เขียนเว็บ PHP,ติดต่อฐานข้อมูลMySQL

ยกตัวอย่างการติดตั้งโปรแกรม appserv-win32-2.5.7 เพื่อจำลองเครื่องที่บ้านให้เป็น Server
เนื่อจากโปรแกรม appserv-win32-2.5.7 เป็นซ็อฟแวร์ที่สามารถดาวน์โหลดมาใช้งานได้ฟรีโดยไม่เก็บค่าลิขสิทธิ์ใดๆทั้งสิ้นจึง
หมาะที่จะนำมาเป็นซอฟร์แวร์ในการทดสอบหรือใช้งานเป็นเว็บเซิร์ฟเวอร์ได้เป็นอย่างดีซ
่งเราสามารถดาวน์โหลดตัวโปรแกรมได้ที่
http://prdownloads.sourceforge.net/appserv....7.exe?download

หรือดาวน์โหลดเวอชั่นที่ใหม่กว่าได้ที่ http://www.appservnetwork.com/

1.เริ่มการติดตั้ง เมื่อเราดาวน์โหลดมาเรียบร้อยจะได้ไฟล์โปรแกรมชื่อ appserv-win32-2.5.7.exe ดังรูปที่ 1

ภาพที่แนบมา

2.ดับเบิลคลิกที่ไฟล์ appserv-win32-2.5.7.exe เพื่อทำการติดตั้งโปรแกรมจะปรากฏหน้าจอดัง รูปที่ 2 ให้คลิกที่ ปุ่ม Next เพื่อทำต่อไป

ภาพที่แนบมา

3.รูปที่ 3 คลิกปุ่ม I Agree เพื่อยืนยันการติดตั้งโปรแกรม

ภาพที่แนบมา

4. รูปที่ 4 เลือกตำแหน่งที่ใช้ในการติดตั้งโปรแกรมในที่นี้ใช้ C:\AppServ ซึ่งส่วนใหญ่จะติดตั้งกันตำแหน่งนี้ แต่ก็ไม่จำเป็นอาจติดตั้งในตำแหน่งอื่นก็ได้เช่นในไดร์ฟ D :\ ก็ไม่ผิด จากนั้นต่อที่คลิกปุ่ม Next เพื่อทำต่อไป

ภาพที่แนบมา

5.รูปที่ 5 เลือกว่าจะติดตั้งอะไรลงไปบ้าง ในที่นี้เลือกทั้งหมด จากนั้นคลิกปุ่ม Next เพื่อทำต่อไป

ภาพที่แนบมา

6. รูปที่ 6 ตั้งชื่อให้เซิร์ฟเวอร์ในที่นี้ใช้ localhost อาจใช้เป็น IP ได้เช่นกัน เช่น 127.0.0.1 ก็คือ IP ของเครื่องซึ่งใช้เรียกตัวเอง หรือจะเป็น 192.118.1.3 คือ IP ในวงแลนด์ ใช้เรียกภายในวงแลนด์ หรือเป็น 203.158.177.9(ไอพีเครื่องผู้เขียน) เป็น IP ในเครือข่ายอินเทอร์เน็ต ใช้เรียกผ่านอินเตอร์เน็ต เป็นต้น จากนั้นตั้งชื่ออีเมล์ ถ้าแค่ทดสอบในเครื่องใช้อีเมล์หลอกๆได้ และทำการกำหนดพอร์ตในการเรียกใช้งานโปรแกรมปกติกำหนดเป็น 80 หากโปรแกรมอื่นมีการใช้งานพอร์ต 80 ไปแล้วเราอาจเรี่ยงมาใช้พอร์ต 8080 เช่นได้กัน หรือพอร์ตอื่นที่ให้บริการ HTTP

ภาพที่แนบมา

7. รูปที่ 7 ทำการตั้งรหัสผ่านสำหรับเข้าใช้ MySQL Server ส่วนชื่อเข้าใช้นั้นโปรแกรมจะตั้งมาให้เป็น root เสมอเมื่อใส่รหัสผ่านแล้วให้ใส่รหัสผ่านอีกครั้งเพื่อยืนยันความถูกต้องของ รหัสและทำ
ารเลือกภาษาที่ใช้กับ MySQL Server แล้วคลิกปุ่ม Install เพื่อติดตั้งโปรแกรม appserv

ภาพที่แนบมา

8. รูปที่ 8 โปรแกรมจะเริ่มขั้นตอนการติดตั้งไฟล์โปรแกรมลงในเครื่องที่จำลองเป็นเซิร์ฟเวอร์หลัง
ากคลิกปุ่ม Install ไป รอจนกว่าโปรแกรมจะติดตั้งสมบูรณ์

ภาพที่แนบมา

9. รูปที่ 9 เมื่อติดตั้งเสร็จสมบูรณ์จะขึ้นหน้าจอนี้ขึ้นมาเพื่อให้คลิกถูกข้างหน้า Start Apache และ Start MySQL หากไม่คลิกถูกข้างหน้าเมื่อคลิกปุ่ม Finish โปรแกรมจะไม่รันทันทีแต่หากเปิดเครื่องใหม่โปรแกรมจะรันตัวเองให้ทำงานทุก ครั้งเพื่อ
ำหน้าที่เป็น Web Server และ Mysql Server ในที่นี้คลิกถูกทั้งสองอย่างเพื่อจะได้ทดสอบว่าติดตั้งสำเร็จหรือไม่ต่อไป

ภาพที่แนบมา

การใช้ phpMyAdmin จัดการฐานข้อมูล MySQL
การ จัดการฐานข้อมูล MySQL นั้นตามจริงแล้วเราอาจจะใช้โปรแกรมอื่นๆจัดการได้เช่นเดียวกับ phpMyAdmin เช่นโปรแกรม MySQL Front หรือ SQL yog เป็นต้น แต่เพื่อในที่นี้จะพูดถึงการใช้ phpMyAdmin เพราะเป็นตัวจัดการที่ใช้บ่อยที่สุดในการพัฒนาโปรแกรมระบบบัญชีต้นทุนออ นไลน์นั้นได้
ช้ MySQL Front ในบางครั้งเพื่อความรวดเร็วในการจัดการข้อมูล

1.รูปที่ 10 ทดสอบเรียกเว็บจาก URL Address ดังนี้คือ http://127.0.0.1 หรือ http://localhost ก็ได้ จะปรากฏหน้าตาดังรูป ให้คลิกที่ phpMyAdmin Database Manager เวอร์ชั่น 2.9.0.2 จะปรากฏบล็อกแสดงขึ้นมาให้ใส่ ชื่อและรหัสเข้าใช้งาน phpMyAdmin เพื่อจัดการฐานข้อมูล

ภาพที่แนบมา

2. รูปที่ 11 การสร้างฐานข้อมูล ทำการเลือกภาษาที่ใช้กับข้อมูล ใส่ชื่อฐานข้อมูล และคลิกปุ่ม สร้าง

ภาพที่แนบมา

3.รูปที่ 12 การสร้างตารางในฐานข้อมูลโดยตั้งชื่อตาราง ใส่จำนวนคอลัมน์ที่ต้องการให้มีในตาราง

ภาพที่แนบมา

4. รูปที่ 13 การสร้างคอลัมน์และการตั้งชื่อและชนิดข้อมูล ซึ่งสามารถกำหนดชนิดของข้อมูล ความยาว และว่างเปล่าได้หรือไม่ กำหนดคีย์หลัก กำหนดดรรชนี

ภาพที่แนบมา

5. รูปที่ 14 เมื่อคลิกปุ่มลงมือโปรแกรมจะจัดการสร้างตารางให้ดังนี้

ภาพที่แนบมา

6. รูปที่ 15 ปุ่มเมนูใช้จัดการข้อมูลใน phpMyAdmin ซึ่งใช้ในการเปิดดูข้อมูล ดูโครงสร้างข้อตารางข้อมูล เขียนคำสั่ง SQL แบบ command line ค้นหาข้อมูลในตาราง แทรกแถวข้อมูลใหม่ ส่งออกฐานข้อมูล และนำเข้าฐานข้อมูล ลบข้อมูล โยนทิ้งฐานข้อมูล

ภาพที่แนบมา

ผมขออธิบายมาถึงตรงนี้นะครับ ที่เหลือก็ไม่ใช้เรื่องอย่างที่จะลองเล่นดูด้วยตัวเองแล้วนะครับ มีปัญหาสงสัยอะไรก็เข้ามาถามได้ครับ...

บทความนี้เขียนโดย Thainetdev.com

วิธีปลดบล๊อกความเร็วเน็ต

โดยปกติแล้ว window จะ บล็อกความเร็วเน็ต ไว้ 20 เปอร์เซ็นต์ เรามีวิธีปลดบล๊อกได้ด้งนี้
ติดจรวดเล่นอินเตอร์เน็ตให้กับ Windows XP
การใช้งานอินตอร์เน็ตบางครั้งจะช้าหรือเร็วขึ้นอยู่กับส่วนประกอบหลายด้าน เราก็ พยายามหาหนทางปรับแต่งให้ถูกใจ
และถูกเงิน วิธีนี้เป็นอีกวิธีที่ทำให้การท่องอินตอร์เน็ตได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
1. คลิกที่ปุ่ม Start
2. เลือกที่แถบรายการ Run
3. ที่ช่อง Open พิมพ์คำว่า gpedit.msc แล้วคลิก OK
4. จะแสดงหน้าต่างของการปรับแต่ง Group Policy
5. ที่ Computer Configaration เลือกแถบ Administrative Templates
6. หัวข้อ Network เลือกที่ QoS Packet Scheduler
7. มองหน้าต่างด้านขวามือ ให้ดับเบิ้ลคลิกที่ Limit reservable bandwidth
8. จะปรากฎกรอบหน้าต่างใหม่ Limit reservable bandwidth Properties
9. เลือกแถบ Setting คลิกที่ช่อง Enable
10. ในช่อง bandwidth limit (%) : ปรับค่าเป็น 0
11. คลิก OK เพื่อยืนยันการใช้งาน แค่นี้เองลองนำไช้ดูครับ

dynamic dns v1

Dynamic DNS By No-ip.com

สำหรับคนที่ทำ WebServer หรือ อื่นๆ
เวลาเราให้เพื่อนดู อาจจะต้องใช้เป็น IP แล้วเกือบทุกครั้งที่ต่อเนตใหม่ เราก็จะได้ค่า IP ใหม่
ดังนั้นเพื่อง่ายต่อการ จำ ในที่นี้ เราจะใช้เป็น Dynamic DNS

เช่นทำ Server ที่บ้าน ทุกครั้ง ที่เข้า ก็ใช้เรียกชื่อเอาเลย
เช่น
http://netcafethai.no-ip.com

โดยทาง no-ip จะมีโปรแกรมเพื่อรายงานว่า ขณะนั้นเรามี IP Adress อะไร

ตอนหน้า เราจะเอา 602 มาใช้คู่กับ No-ip เพื่อทำ Mail Server เล่น..


*** ip ที่ได้จาก ISP จะต้องเป็น Public IP หรือ IP จริงๆ เท่านั้น ***

ทำการลงทะเบียนที่เวป www.no-ip.com
เลือก Sign up Free มุมบน
ทำการกรอก ตามที่เวปต้องการ
*แนะนำกรอกเฉพาะช่อง ที่เน้นตัวใหญ่
เมื่อผ่านแล้ว เข้าไปเช็ค E-mail เพื่อทำการ Activate
เลือก activate Link ที่2
Activate ผ่านละ
กลับไปที่เวป no-ip เพืท่อทำการ Log on เข้าสู่ระบบ
เมื่อผ่านแล้วเลือก ADD
เลือก Domain ที่ต้องการในที่นี้ คือ
xcomguy.no-ip.com
เมื่อผ่านแล้วเลือก ADD
เลือก Domain ที่ต้องการในที่นี้ คือ
xcomguy.no-ip.com
เมื่อ เสร็จแล้วทำการ โหลด Program Client
ทำการติดตั้งโปรแกรม แล้วเลือก edit
กรอก Email + Pass
ถ้ารูปขึ้นหน้ายิ้ม แสดงว่าใช้งานได้
*ถ้าครั้งแรกอาจจะต้องรอนิดหน่อย กว่า Domain จะใช้งานได้
*** ip ที่ได้จาก ISP จะต้องเป็น Public IP หรือ IP จริงๆ เท่านั้น ***

การรับ-ส่งไฟล์ FTP แบบมืออาชีพ

ที่มา:ปลาทองคอมพิวเตอร์
การรับ-ส่งไฟล์ FTP แบบมืออาชีพ

สินชัย ไทยเจริญ ถาม : เรียนถาม อ.มนตรี ว่าการ FTP เข้าไปที่เครื่อง http://school.obec.go.th/user โดยไม่ต้องใช้โปรแกรม FTP ต่างๆ ใช้คำสั่งอย่างไรครับ

โปรแกรม เว็บบราวเซอร์ตัวไหนก็ได้ครับ แม้แต่เจ้า Windows Explorer ก็ได้ครับ แล้วพิมพ์ที่ Address bar ลงไปดังนี้ครับ ftp://user@school.obec.go.th เคาะ Enter


รอสักพักจะมีกรอบมาถามรหัสผ่าน ระบุลงไปก็เข้าไปในเซิร์ฟเวอร์ได้แล้ว


ถ้าเป็นเครื่องที่เราใช้ประจำ ขี้เกียจใส่รหัสผ่านก็จัดการเช็กเครื่องหมายลงในช่อง Save Password หรือจะสั่งด้วย ftp://user:password@school.obec.go.th ได้เลยครับ รอสักครู่เราก็จะเห็นไฟล์ในเซิร์ฟเวอร์ดังภาพล่าง


การ ใช้งานก็เปิด Windows Explorer อีกหน้าต่างหนึ่งลากไฟล์ข้ามไปลงในหน้าต่างเซิร์ฟเวอร์ได้เลยครับ ผมพิสูจน์แล้วว่าเร็วกว่าการใช้ WS_FTP, Cute FTP เยอะเลย บางทีก็เล่นส่งทั้งสามโปรแกรมพร้อมๆ กันถ้ามีไฟล์เยอะรีบเร่งครับ

วิธีนี้ผมใช้ตอนไปเที่ยวหรือไปร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ที่เขาไม่มีโปรแกรม FTP ให้ใช้

มาทำเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็น Web Server กันดีกว่า

จะดีมั้ยถ้าเราจะเอาเครื่องคอมพิวเตอร์ส่วนตัวของเราทำ Web Server ?
จริง ๆ แล้ว การที่เราจะมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองนั้นมีหลายวีธีครับ เช่น
1. การสร้างเว็บขึ้นมาแล้วสมัครใช้พื้นที่ของ Free Hosting ซึ่งเราไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการใช้พื้นที่ แต่พื้นที่ที่ได้อาจจะน้อยไป หรือ ต้องแลกกับพื้นที่บางส่วนในหน้าเว็บของเราที่ทางเจ้าของ Host จะใช้เป็นพื้นที่ในการโฆษณาหรือบางที่อาจจะมี Pop up โผล่ขึ้นมาเวลาเราเปิดเว็บ (ข้อมูลเพิ่มเติม ใช้ คีย์เวิร์ด Free Hosting ค้นหาใน google ดูครับ)

2. สร้างเว็บขึ้นมาแล้วไปเช่าพื้นที่จากเว็บที่ให้บริการ Hosting ซึ่งกรณีนี้เราต้องจ่ายตังค์ให้เขา โดยราคาก็ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆอย่าง ที่สำคัญก็คือขนาดของพื้นที่ที่เราต้องการ แน่นอนว่ายิ่งต้องการพื้นที่มาก ๆ ราคาก็ย่อมแพงตามไปด้วยครับ

แล้วถ้าหากเราสามารถทำให้เครื่องของเราเป็น Web Server ได้มันจะดีมั้ยนะ

1. ประการแรกดีแน่นอนเพราะไม่ต้องเสียตังค์ (หลายคนอาจจะเถียงว่าแล้วทำไมไม่ไปใช้บริการ Free Hosting ล่ะ มาดูข้อที่สองครับ)
2. การใช้เครื่องของเราเป็น Server เราจะได้พื้นที่มหาศาล เรียกว่ามีฮาร์ดิสก์เท่าไหร่ก็ใช้ได้เท่านั้นแหละครับ และที่สำคัญคือเราไม่ต้อง Upload เว็บที่เราสร้างขึ้นมาให้เสียเวลา ก็เพราะมันอยู่ในเครื่องของเราแล้วนั่นเอง

แล้ว Web Server ที่สร้างด้วยคอมของเราเองจะใช้ได้ดีแค่ไหน

1. เรื่องของประสิทธิภาพนั้นคงจะสู้ Server จริง ๆ ไม่ได้แน่นอนอยู่แล้วครับ
2. ความเร็วในการเรียกใช้งานก็ขึ้นอยู่กับระบบอินเตอร์เน็ตที่บ้านหรือทีทำงาน ของเรานั่นแหละครับ แต่เดี๋ยวนี้เราก็ใช้ ADSL กันเยอะครับ
3. Web Server ที่เราจะทดลองสร้างนี้ ไม่ได้หวังว่าจะให้คนทั่ว ๆ ไปเข้ามาใช้งานครับ เพียงแต่เป็นการใช้งานภายในกลุ่มเพื่อนฝูงหรือในหน่วยงานของเราเท่านั้นครับ
4. หากเราทำตรงนี้ได้ ซึ่งนอกเหนือจากการที่เรามี Web Server ให้ใช้งานหรือดาวน์โหลดข้อมูลแล้ว ต่อไปเราอาจประยุกต์ไปใช้งานอย่างอื่นได้อีกครับ เช่น การติดตั้ง Webcam ในบ้านหรือสำนักงานของเรา โดยเราสามารถเรียกดูผ่านอินเตอร์เน็ตได้จากทุกที่ (ดีมั้ย) หรือการสร้างสถานีวิทยุหรือโทรทัศน์ออนไลน์ ให้คนอื่นเข้ามาฟังเข้ามาชมได้ครับ (ตัวอย่างก็ที่เว็บปลาทองของเรานี่แหละครับ)

สรุปแล้วการทำ เครื่องของเราให้เป็น Server นั้น ก็ไม่ได้มีอะไรเสียหายเลยครับและที่แน่แน่ผมว่าเราจะได้ทดลองทำอะไรที่มัน แปลกใหม่และท้าทายดีครับ

แล้วเราต้องมีอะไรบ้างในเบื้องต้น
1. เครื่องคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง ที่มีการจำลองเป็น Web Server ไว้แล้ว ตรงนี้สำคัญมากครับ ท่านต้องทำตรงนี้ให้ผ่านก่อนครับ
การทำให้เครื่องของเราเป็น Server นั้นสามารถทำได้หลายวิธีครับ
1.1 ติดตั้ง PWS สำหรับ windows 9x / me
1.2 ติดตั้ง IIS สำหรับ windows XP Pro./ 2000 /2003
1.3 สำหรับใครที่ต้องการใช้งาน PHP แนะนำให้ติดตั้ง Appserv วิธีติดตั้งคลิกที่นี่ โดยการทดลองของผมในครั้งนี้จะใช้ Appserv ครับ
2. การเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต แบบ ADSL หรือใครที่ใช้เน็ตของหน่วยงานก็ได้ครับ บางที่อาจใช้ สาย Leased Line

Web Server คืออะไร ?

Web server คือโปรแกรมที่อยู่และทำงานบนเครื่องฝั่ง Server (Host) ทำหน้าที่ในการรับคำสั่งจากการร้องขอของฝั่ง Client (โดยผ่านทาง Browser) และประมวลผลการทำงานจากการร้องขอดังกล่าว แล้วส่งข้อมูลกลับไปยังเครื่องของ Client ที่ร้องขอ สรุปง่ายๆ ก็คือ Web server คือโปรแกรมที่คอยให้บริการแก่ Client ที่ร้องขอข้อมูลเข้ามาโดยผ่าน Web Browser เว็บที่เขียนด้วย Server Side Script ทั้งหลายนั้น จะทำงานได้ก็จะต้องมี Web server เป็นตัว Run และจะต้องมีตัวแปรภาษานั้นๆ อีกทีหนึ่ง ดังนั้นถ้าเราต้องการให้เครื่องของเราสามารถ Run CGI Script ต่างๆนั้น เช่น ASP, PHP, Perl เป็นต้น ได้เราจะต้องจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็น Web Server และลงตัวแปรภาษาที่เราต้องการเขียนนั้นเสียก่อน (ที่มา : http://www.thaiddns.com)

ครื่องของเราเป็น Web Server หรือยัง?

ใน ตอนนี้เรายังไม่ต้องมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตก่อนก็ได้ แต่ให้แน่ใจว่าเครื่องของเราพร้อมที่จะให้บริการเป็น Web Server แล้วก็เพียงพอ
โดยให้ทำการเขียนเว็บขึ้นมา 1 หน้าแล้วทำการบันทึกไว้ในโฟลเดอร์ที่เก็บไฟล์ html ของ server ของเรา ตั้งชื่อว่า test.php ก็ได้ ในกรณีที่เราใช้ appserv ตามที่ได้กล่าวไว้ในข้างต้นนั้น เราสามารถเก็บไฟล์ html ของเราไว้ที่ C:/AppServ/www หรือดู ตัวอย่างเพิ่มเติมที่นี่ เลยครับ
ซึ่งหากใครยังไม่แน่ใจก็สามารถตรวจสอบได้ด้วยการ เปิดโปรแกรม Internet Explorer แล้ว พิมพ์ http://localhost/test.php ในช่อง Address ดูครับ ว่า Web Server ของเราแสดงผลหรือไม่ หากแสดงผลถูกต้องก็ไปอ่านหัวข้อต่อไปได้เลยครับ




ในหัวข้อก่อนนี้เราสามารถทำให้เครื่องของเราสามารถบริการข้อมูลจาก Browser ที่ร้องขอข้อมูลมาได้แล้ว
แต่ ก็เป็นเพียงการใช้งานเฉพาะเครื่องของเราแล้วเท่านั้น ซึ่งหากจะให้คนอื่นเข้ามาใช้งานเว็บของเราก็ต้องมีการเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ต ด้วย เพราะฉะนั้นตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปให้เราต่อเน็ตด้วยครับ

การ ที่เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องอื่นที่ใช้งานอินเตอร์เน็ตสามารถเรียกเข้ามา ยังเครื่องของเราได้นั้น เครื่องคอมพิวเตอร์นั้นจะต้องรู้หมายเลย IP Address ของเครื่องเราด้วยครับ โดย IP Address ที่ว่านี้จะต้องเป็น Public IP นะครับ ไม่ใช่ Private IP ที่เราได้จากระบบเครือข่าย

-----------------รู้จักคำว่า IP (ข้อมูลจากเว็บ http://www.thaiddns.com)---------------------
IP Address คืออะไร?
IP (Internet Protocal) Address คือ หมายเลขประจำเครื่องของเครื่องนั้นๆที่ออกสู่ Internet เปรียบได้กับ บ้านเลขที่ของคอมพิวเตอร์นั่นเอง ลักษณะของ IP Address จะประกอบไปด้วยตัวยตัวเลข 4 ชุด คั่นด้วย จุด เช่น 202.57.128.130 , 192.168.0.1 เป็นต้น

Public IP (Global IP) คืออะไร
คือ IP Address ที่ใช้กันอยู่บน Internet จริงๆ IP Address นี้จะไม่มีทางซ้ำกัน IP เหล่านี้จะได้มากจาก ISP ที่เรา connect เข้าไปใช้ Internet ของเค้านั่นเอง (แต่บาง ISP ก็ให้ Private มาเหมือนกันนะ) ตัวอย่าง Glogal IP ที่เห็นในไทยก็ 58.102.157.201, 202.57.128.129, 203.155.147.132 เป็นต้น โดย IP เหล่านี้เราสามารถเรียกดูที่ไหนก็ได้หากต่อ Internet แต่ Global IP นี้ส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแปลงทุกครั้งที่มีการ Connect Internet ใหม่

Private IP (Local IP) คืออะไร
คือ IP Address ภายในองค์กร (หรือภายใน LAN) ในระบบ LAN เดียวกันไม่สามารถซ้ำกันได้ แต่หากอยู่คนละองค์กร (คนละวง LAN) สามารถเหมือนกันได้ แต่จะไม่สามารถเรียกดูผ่านระบบ Internet ได้เพราะเป็น IP ภายในนั่นเอง
--------------------------------------------------------------------------------------------

ทดลองให้เพื่อนเข้ามาดูเว็บเราดีกว่า
หลังจากที่เราติดตั้งคอมพิวเตอร์ของเราให้เป็น Web Server แล้ว ลองมาเรียกดูผ่าน Public IP ดีกว่าครับ
ก่อนอื่นต้องตรวจสอบดูว่าตอนนี้อินเตอร์เน็ตของเราได้ Public IP อะไรอยู่ วิธีการตรวจสอบก็คลิกที่นี่เลยครับ

http://checkip.dyndns.com/

สมมติว่าได้ IP Address จากการตรวจสอบดังนี้ 203.188.123.185 ก็ลองเรียกเว็บของเราดู ครับ โดยการพิมพ์

http://203.188.123.185/test.php

หลังจากนั้นลงส่งให้เพื่อนที่ใช้เน็ตอยู่อีกที่กับเราเรียกเข้ามาดูหน่อยว่าสามารถเข้าถึงเว็บของเราได้มั้ย

ซึ่ง จริง ๆ แล้วนั้นหากเพื่อนเราอยู่ในวง Lan เดียวกันก็จะสามารถเข้าดูได้ครับ แต่หากมีการเรียกเข้ามาจากภายนอกจะยังไม่สามารถเข้าได้ก่อนนะครับเนื่องจาก Router ของโมเด็ม ADSL ที่เราใช้งานอยู่นั้น จะกันไม่ให้คนอื่นเข้ามาใช้งานในเครื่องของเรา พูดกันตามหลักการแบบบ้านบ้าน แล้วก็คือเราต้องทำการส่งต่อการร้องขอจากข้างนอก ที่มายัง Router มาที่เครื่อง ของเราด้วยครับ จึงจะทำให้คนอื่นเรียกมายังเว็บในเครื่องเราได้ครับ

การส่งต่อที่ว่านี้เรียกกันในทางเทคนิคว่า การ Forward Port ครับ

การ Forward Port นั้นจะมีความแตกต่างกันไปตามแต่ละรุ่นของโมเด็มครับ

ลงอเข้าไปศึกษาจากลิ้งค์ ต่าง ๆ ต่อไปนี้ครับ

http://www.thaiddns.com/webboard/messageReply.asp?tid=272

http://www.portforward.com/routers.htm ที่เว็บนี้มีครบทุกยี่ห้อทุกรุ่นเลยครับ




ใน ความเป็นจริงแล้วหากเราเชื่อมต่ออินเตอร์เน็ตแบบ ADSL นั้นทุกครั้งเราจะได้ Public IP ที่แตกต่างกันครับเนื่องจาก จะมีการหมุนเวียน IP ไปให้คนอื่นใช้งานหลังจากที่เราเลิกการเชื่อมต่อแล้วนั่นเอง

เพราะ ฉะนั้นคงจะเป็นเรื่องยากที่ใครจะเข้ามาดูเว็บเราได้ตลอดเวลา เพราะหากเชื่อมต่อเน็ตใหม่ก็จะได้ IP Address ใหม่ด้วย แล้วใครจะรู้ IP Address ใหม่ของเราล่ะ ไอ้จะให้นั่งบอกคนอื่นทุกครั้งที่ IP เปลี่ยนก็คงจะทำไม่ได้ครับ แต่ไม่เป็นไรเพราะเดี๋ยวนี้มีระบบ Dynamic DNS ซึ่งระบบที่ว่านี้ เมื่อเราไปสมัครใช้งานก็จะได้ Domain name มา หนึ่งชื่อ ตัวอย่างเช่น http://plathong.mine.nu ซึ่งทุกครั้งที่เราเชื่อมต่อเน็ต ระบบ Dynamic DNS ก็จะทำการ Update IP Address ให้กับ Domain name ของเรา ซึ่งไม่ว่า IP จะเปลี่ยนไปอย่างไร หากเราเรียกไปยัง Domain name ของเราแล้วระบบก็จะนำไปยัง IP ที่ได้ update ไว้แล้วทุกครั้งนั่นเองครับ

มาสมัครใช้งาน Dynamic DNS กันดีกว่า

ระบบ Dynamic DNS เปิดให้ใช้งานฟรี ครับ

มีเว็บที่อยากแนะนำอยู่ 3 ที่ครับ

1. http://www.dyndns.com/ ของนอกใช้ได้ดีครับ
2. http://www.thaiddns.com ของไทยครับน่าใช้อีกเช่นเดียวกัน
3. http://www.no-ip.com/ ของนอกใช้กับ Linux ได้ด้วย


ลองสมัครดูที่ http://www.dyndns.com/
1. คลิกที่ http://www.dyndns.com/account/create.html แล้วกรอกข้อมูลให้ครบครับ

2. ระบบจะส่งลิ้งค์มาให้เรา Activate ทางเมล์ที่เรากรอกใว้

3. หลังจาก Activate Account แล้วให้ Login เข้าใช้งาน และคลิกที่ My Services

4. จากนั้นคลิกที่ Add Host Services (อยู่ทางด้านซ้ายมือ)

5. คลิกที่ Add Dynamic DNS Host

6. ในช่อง Hostname ใส่ชื่อ Sub Domain ที่เราต้องการ เช่น plathong ส่วนช่องด้านหลังให้เราเลือก อะไรก็ได้ครับ เช่น mine.nu

7.ช่อง IP Address ระบบจะใส่ให้เอง

8. คลิกถูกที่ Enable Wildcard

9. คลิกปุ่ม Add Host

ระบบจะแจ้งให้ทราบว่าตอนนี้ Sub Domain คืออะไร ตัวอย่าง
---------------------------------------------
Hostname: plathong.mine.nu
IP Address: 203.182.261.89
Wildcard: Y
Mail Exchanger: None
Backup MX: N
---------------------------------------------

หมายถึงเมื่อมีการเรียกมาที่ plathong.mine.nu ระบบจะ Redirect มายัง IP 203.182.261.89 ซึ่งก็คือเครื่องเรานั่นเองครับ


แต่ตอนนี้ยังไม่พอครับ

เราต้องดาวน์โหลดโปรแกรม สำหรับ Update IP อัตโนมัติ มาติดตั้งไว้ในเครื่องเราด้วยครับ
โดยตัวโปรแกรมนี้จะเปลี่ยนค่า IP ให้เราทุกครั้งที่เชื่อต่ออินเตอร์เน็ตนั่นเอง คลิกเพื่อดาวน์โหลดที่นี่

เมื่อ ดาวน์โหลดมาแล้วให้ทำการติดตั้ง และเข้าใช้งานโดยใส่ Username และ Password ที่สมัครไว้หลังจากนั่นก็เพิ่ม Host ที่เราได้ Add ไว้ ในเว็บ www.dyndns.com
และต่อไปทุกครั้งที่เราเปิดเครื่องโปรแกรมก็จะ Update IP ให้เราอัตโนมัติ


ครับ

วันพุธที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2552

ประวัติกำเนิด Hard Rock

Hard Rock

Hard Rock หนึ่งในรูปแบบของดนตรีจังหวะ Rock and Roll ในยุค 1960 ดนตรี Rock ได้แตก แขนงขึ้นมากมาย Hard rock ความนิยมสูงที่สุดในระหว่างปี 1969 และ 1985

Hard Rock จำกัดความอย่างง่ายๆ คือดนตรีมีนำดนตรีร๊อคนำมาเล่นในหนักขึ้น และ ได้เป็นต้นแบบของ ดนตรี Heavy Metal แต่มีความแตกต่างเล็กน้อย คีย์ที่ปรับบ่อยๆ สเกลที่ใช้บ่อยๆ คือ Pentatonic scale สำหรับการสร้างดนตรีนี้เริ่มจาก การใช้ Power chord จากแทนที่จะเล่นคีย์ธรรมดาแต่ปรับมาเล่น ต่างจากปกติ 4-5 คีย์ ของ สเกลHard Rock มักจะใช้ effect เสียง Trebly Overdrive บนกีตาร์ กลอง ตีอยู่ใน 100 - 150 Beats , กับ 120 BPM โดยทั่วไป โดยปกติโดยปกติเสียงโทนต่ำใน Bass guitar เสียงความอบอุ่นและเป็นลักษณะของเพลงโทนต่ำ เหล่านั้นที่ค้นพบในดนตรี Hard Rock และ Heavy Metal ในต่อมาด้วย

ในบทเพลงจะมีคล้าโคลงโดยเริ่มจาก intro , verse1 , chorus1 , verse2 , chorus2 , solo , chorus3 และ ending หรืออาจจะวนมาที่ Chorus2 อีกรอบก็ได้ ในขณะดนตรีฮาร์ดร๊อคเกิดขึ้นก็ได้มีสายต่างๆแยกมาด้วยเช่นกัน เช่น Punk rock , Grunge , Industrial rock และ Heavy Metal อีกด้วย ซึ่ง Hard Rock ได้พัฒนามาเป็น Heavy Metal ในเวลาต่อมา

วง Hard Rock ที่แนะนำ

Black Sabbath
Deep Purple
Queen
Led Zeppelin
Van Halen
The Stooges
MC5
AC / DC
Gun ‘N Roses
Jimi Hendrix
The Who
Thin Lizzy
Aerosmith
Def Leppard
UFO
Cream etc.

Heavy Metal

Heavy Metal คือดนตรีรูปแบบหนึ่ง รูปแบบของเพลงคือความบ้าคลั่ง,จังหวะที่กำลังขับ ของ Rhythm อันหนักหน่วง และที่ดังขึ้นอย่างมากของ Effect Distorted ของกีตาร์ Heavy metal คือการพัฒนา หนึ่ง การพัฒนาของ Blues rock , Rock and Roll และ Prog rock แหล่งกำเนิดของมันอยู่ในสาย Hard Rock ซึ่งระหว่าง 1967 และ 1974 หยิบเอา Blues rock , Rock and Roll มาสร้างลูกผสม กับ Rock อีกด้วย กีตาร์ และ กลอง คือส่วนสำคัญของ Heavy metal มีความนิยมของมันใน 1980’s ระหว่างนี้ Heavy Metal ยังคงมีโลกมากมายและไม่มีวันตาย โดยมีแฟนๆหรือเรียกว่า Metalheads และ Headbangers เป็นผู้ฟัง และ สนับสนุนต่อไปเรื่อยๆ

วง Heavy metal ที่แนะนำ

Decapitated
Black Sabbath
Metal Church
King Diamond
Manowar
Motorhead
AC/DC
Ozzy Osbourne
Primal Fear
Mercyful Fate etc.

Speed Metal

Speed Metal คือประเภทของ Heavy Metal ซึ่งคล้ายกับ Thrash Metal ซึ่งไม่ตั้งใจให้ไพเราะและ แสดงอิทธิพลเล็กน้อยของดนตรี Punk rock วง Judas Priest และ Accept คือซึ่งได้รับการพิจารณา จะผู้พัฒนาหลักของประเภทนี้ โดย Judas Priest ได้ออกอัลบั้ม Painkiller ออกมาในปี 1990’s คือ ตัวอย่างที่ดีจากประเภทนี้ โดยการผสม Riff ไวนรก โดยมีเสียงร้องของ Rob Halford เสียงแหลมสุดๆ แบบ Heavy แต่ Speed จะเร็วกว่าเยอะ วง Motorhead ได้ form วง ในปี 1975 โดยเล่น Speed Metal ผสมกับ ดนตรี Punk หรือเรียก sound แบบนี้ว่า Heavy punk-influenced sound ซึ่ง เมทัลสายนี้ แบ่งแยกได้ยากมากๆ และส่วน มากจะเรียกรวมกับ Thrash ว่า Speed Thrash Metal ไปเลย

Thrash Metal

Thrash Metal คือดนตรี ประเภทย่อย ของ Heavy Metal แหล่งกำเนิดของ Thrash Metal เกิดขึ้น ใน 1970’s และเสื่อมใน 1980’s ล่าสุดเมื่อเริ่มต้นของวงต่างๆ ก็มีการรวบรวมวงต่างๆในฝั่งอังกฤษ และใช้ ชื่อว่า NWOBHM ย่อมาจาก New Wave of British Heavy Metal ดนตรี Thrash metal เป็น สายที่มีความก้าวร้าวมาก คล้ายกับ Speed Metal ที่กล่าวไว้ข้างต้น Thrash metal ถือว่าเป็นเมทัลแขนงหนึ่งที่จัดได้ยาก เพราะมีการนำดนตรีอื่นๆเข้ามาผสมมากมาย แฟนๆ จำนวนหนึ่งและนักดนตรีมีความคิดมั่นคงของประเภทนี้ ได้ต่อต้านวงที่นำดนตรีอื่นๆเข้ามาผสม Thrash แท้ๆ อาจเป็นเพราะไร้ประโยชน์ ก็ได้ เช่นการนำ ดนตรี Hardcore , Punk , Classical และ Jazz เข้า มาผสมโดยทั่วไป พื้นฐานแห่งดนตรีของ Thrash ประกอบด้วยความเร็ว และเสียงโทนต่ำ กีตาร์เร็วขยี้และความซับซ้อน Riff กีตาร์ด้วยบางครั้งทำให้เป็นชั้นสูงเพลงร้องแล้วเล่นกีตาร์ไปพร้อมกันเลย โดยปกติความเร็วพื้นฐานของกลองในรูปแบบ Thrash Metal นี้อยู่ใน 1/2 beat หรือ 2nd และ 4th beats ของเครื่องมือวัด ใช้กลองเสียงต่ำกว่าใช้ธรรมดาอีกด้วย และใช้ กระเดื่องคู่ ตีกลองแบบสับๆดนตรี Thrash นี้ เป็นต้นกำเนิดของสายเมทัลอีกมากมายเช่น Death Metal , Black Metal ก็โดยวง Slayer , Venom ฯลฯ

วง Thrash metal ที่แนะนำ

Destruction
Kreator
Sodom
Anthrax
Megadeth
Metallica
Slayer
Annihilator
Artillery
Coroner
Dark Angel
Death Angel
Exodus
Nuclear Assault
Overkill
Sadus
Sepultura
Skitzo
Stormtroopers Of Death
Pantera
Testament
Vio-lence
Voivod
Venom etc.

Death Metal

แนว Death มีลักษณะที่ ใกล้เคียงกับ Black แต่ว่าเนื้อหาของ Death จะเน้นไปที่ การกระทำมากกว่า Black พูดง่ายๆ Death เน้น กระทำ ส่วน Black เน้น ทางความคิด เน้นเนื้อหาไปทางความตาย การหลอกหลอน การทำลายล้าง เลือดSound จะบาดหูทำลายทำร้าย เยื่อหู

แนะนำ

Morbid Angel
Vader

Death Black Metal

แนว Black แนวนี้ เน้นเนื้อหาที่ลึกลับ เรื่องเล่า ตำนานโบราณ ปีศาจ ภูติผี ภูติ การ บูชาซาตาน พิธีกรรมมืด ใช้ Sound ในโทนต่ำ ดูม่นหมอง และการเหยียดหยาม ทุกศาสนา อย่างตรงไปตรงมา การทำลายล้างความ สันติสุข นิยมสงคราม การฆ่า ส่วนใหญ่อยู่แถว สแกนดิเนเวีย แนะนำ Mayhem , DarkFuneral , Marduk

Power Metal

เป็นเมทัลที่มีรีฟกีตาร์หนา และอื่นๆ(บอกไม่ถูก) เช่นวง Iron Maiden Helloween มี 2 สายนะ คือ Power Thrash ในรู้แบบของ Pantera (วงโปรดผม) ในไทยก็มี Clone (โคลน) Heavy Power Metal ด้วย

Industrial Metal

ต้นกำเนิดมาจากซาวนด์ในโรงงานอุสาหกรรมบวกกับความคับแค้นของสังคมเมือง ดนตรีสายนี้มีอายุมานานเช่นกันแต่ได้รับความนิยมน้อยลง มี วง Fear Factory ในไทยก็ Nerve นี้ละ

Doom Metal

เป็นดนตรีคล้ายๆเพื่อชีวิต เนื้อหาจะเกียวกับชีวิตอาจเป็นความตายได้ในบางครั้ง ทรงพลัง แต่ ช้าเนิบๆ รีฟยานๆ นั้นละคือจุดเด่น ของดูมเมทัล ไม่เน้นความไว อาจมี คีบอร์ดหรือ อะคูสติกกีตาร์ ด้วย

Gothic Metal

เป็นดนตรีเมทัลที่แยกมาจากสาย Doom , Black มีลักษณะ ดนตรีแห่ง ความโศกเศร้า หลอนจิต จะพิถีพิถันดนตรีมากๆ แบบซิมโพนิก โครงสร้างจะเป็นซาวนด์ในยุคคลาสสลิก มีคีบอร์ดเป็นตัวเด่น และสามารถนำไปผสมกับแนว Death/Black ได้ด้วยเช่นกันสายเสริมของดนตรี เมทัล

Melodic Metal

เป็นเมทัลฟังง่าย ติดหูไว ไม่ได้เน้นความโหด จะเป็นทำนองสวยงาม พลิ้วไหวในการโซโล รีฟคมชัด อาจมีเปียโน,คีบบอร์ด ด้วย เช่นวง In Flames ,Amon Amarth ,Children of Bodom, Angra จะมีหลายสายเหมือนกันเช่น Melodic Power,Melodic Death เป็นต้น

Gore metal

Gore metal อันนี้ต้องยกยอดไปรวมกับ Brutal เพราะว่าจะเน้นดนตรีที่รวดเร็ว กดประสาท เสียงต่างๆ ประดังเข้ามา จนปวดกะโหลก เสียงร้องที่ สำราก กดตำ ตะโกน เหมือนกำลังจะตาย แต่ว่า ภาคดนตรีรับประกันความ ปึ๊ก!เพราะจะเล่นแนวนี้ได้เอ็งต้อง เก่งโคตรอย่างแน่นอน ( สงสารหลอดลม นักร้องนำที่สุด ) ขอแนะนำ Disgore ของอเมริกา เป็น กอร์เมทั่ล พันธ์แท้

Brutal Death

เป็นแนวดนตรีที่มาจาก Death Metal แท้ๆแต่เอามาสำรอกจนฟังไม่รู้เรื่องและจะเน้นในคีย์ต่ำๆ แต่บางช่วงจะแว๊กออกมาแหลมๆบ้างแต่น้องกว่ากดเสียงต่ำๆ และกลองจะเน้นเร็วเพียงอย่างเดียว(พลังไม่ต้อง มั่ว+รกเดี๋ยวโหดเอง) สังเกตุว่าแนวนี้จะมีเสียงสแนร์ที่รัวตลอดเวลา ท่อนส่งจะรัว Tom ทุกไปไล่เสียงไป หาฟังได้จากวง Canibal Corpe , Broken Hope

Gore Grind(Death)

อยู่ใน ไกรน์คอร์อยู่แล้ว แต่แตกมา แต่โหดร้ายกว่า บลูทัล และ ไกรน์คอร์ อีก สายพันธุ์นี้แยกยาก จะสับสนกับบูลตัล และ ไกร์นคอร์ เสียงร้อง,โครงสร้างไม่ต่างกันมากนัก ไม่เน้นเทคนิกแบบบูลทัล ชอบมีซาวนด์สยองขวัญนำมาเป็นไตเติล ดูง่ายๆตรงเนื้อเพลง เกียวกับ การ หั่น,สับ,ควักไส้ เช่น Mortician

Porn Grind (Death)

เหมือนกับ ไกรน์คอร์ แต่ต่างตรงที่เนื้อหาจะเกียวกับ ความวิปริตทางเพศ เช่นวง Lividity ไทยก็มี She's Gorn

ประวัติ วง Pantera

Pantera วงที่ไดม์กับวินนี่พอลพี่ชายของไดม์ ร่วมก่อตั้งขึ้นมาตั้งแต่ปี 1981

ช่วงแรกจะติดกระแสแฮร์แบนด์ทั้งเพลงและภาพลักษณ์

อัลบั้มแรก Metal Magic ออกในปี 1983 ตามด้วย Projects In The Jungle ในปี 1984 และ I Am The Night

แต่พอเปลี่ยนนักร้องเป็น ฟิลิป แอนซิลโม Pantera ดูหนักขึ้นทันที และได้ออกอัลบั้ม Power Metal ในปี 1988 สองปีต่อมาได้เซ็นสัญญากับ Atco Record

หลายคนยกให้ Cowboy From Hell ผลงานในปี 1990เป็นอัลบั้มแรกอย่างเป็นทางการของ Pantera โดยเฉพาะเพลง Cowboy From Hell และ Cametery Gates กลายเป็นเพลงระดับ มาสเตอร์พีซเลยทีเดียว ชนิดว่าใครเป็นเมทัลพันธุ์แท้ต้องรู้จักเพลงนี้

ตามมาด้วย Vugar Display Of Power ในปี 1992 ที่หนักหน่วงมาก 2 ชุดที่ผ่านมาทำให้ทั่วโลกรู้จัก Pantera ทันที 2 ปีต่อมา งานชุด Far Beyond Driven ที่เปลี่ยนแนว กลายเป็นแนวที่หนักขึ้น เป็นแนวแทรชเมทัลออกมาแข่งกับ Slayer ก็ว่าได้ ซึ่งเป็นงานชุดที่หนักที่สุด แต่สามารถขึ้นอันดับ 1 ชาร์ตบิลบอร์ดของอเมริกา และก็ชาร์ตของอังกฤษได้ในสัปดาห์แรกที่เปิดตัว

Pantera ยังออกผลงานมาอีกหลายชุด ได้แก่ The Great Southern Trendkill (1996) อัลบั้มแสดงสด Official Live : 101 Proof และสตูดิโออัลบั้ม Reinventing The Steel (2000)

Dimebag Darrell (Diamond Darrell) หรือนามเดิม Darrell Lance Abbott เกิดเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1966 ที่ Dallas, Texas, Abbott คุ้นเคยกับเสียงดนตรีตั้งแต่เยาว์วัยเนื่องจากพ่อของเขา Jerry Abbott เป็นนักแต่งเพลงและโปรดิวเซอร์ในสาย country music และเป็นเจ้าของสตูดิโอแห่งหนึ่ง นั่นทำให้ Abbott ได้ดูและรู้จักกับนักกีตาร์บูลล์จำนวนมากที่มาที่บ้านของเขาและแม้แต่การเรียนรู้ทักษะทางด้านการเล่นกีตาร์จากพวกเขาเหล่านั้น (ซึ่งการได้รับอิทธิพลดังกล่าวนี้ถูกกล่าวไว้ในหลายเพลงของ Pantera ในเวลาต่อมา) Abbott เริ่มหันมาสนใจดนตรี hard rock และ heavy metal โดยเริ่มจากการชื่นชอบในวง Kiss อย่างแรง และแน่นอนมือกีตาร์ในดวงใจและมีอิทธิพลต่อเขาอย่างแรงกล้าในการเล่นกีตาร์ของเขาไม่ใช่ใคร Ace Frehley นั่นเอง

Abbott เริ่มเข้าสู่วังวนของการเป็นมือกีตาร์ผู้เลื่องชื่อด้วยวัยเพียง 16 อันเนื่องมาจากการประกวดฝีมือกีตาร์ในหลาย ๆ เวทีและเขาก็จะเป็นผู้ชนะมาโดยตลอด ทำให้เขาถูกแบนห้ามประกวดทั่วทั้งรัฐเท็กซัสไม่ว่าจะเป็นเวทีใดก็ตาม เพราะไม่งั้น Abbott ก็จะชนะอีกแหละ หนึ่งในรางวัลที่ได้จากการประกวดครั้งหนึ่งกคือกีตาร์ยี่ห้อ Washburn รุ่น Dean ML (กีตาร์ลูกผสมระหว่าง Flying และ Explorer) ซึ่งต่อมากลายเป็นเครื่องหมายทางการค้าของเขาไปโดยปริยาย Abbott เริ่มซึมซับดนตรีเฮฟวี่เมทัลมากขึ้น อิทธิพลทางดนตรีของเขามาจากนักกีตาร์ชั้นเซียนทั้งหลาย นอกจาก Frehley แล้วก็เช่น Eddie Van Halen, Kerry King (Slayer), Zakk Wylde, James Hetfield (Metallica) และPage Hamilton (Helmet) (ในภายหลัง Abbott ได้เข้ามามีส่วนร่วมในการทำนิตยสารเกี่ยวกับกีตาร์ในส่วนของฝ่ายโฆษณาอุปกรณ์ดนตรี และ reader poll และเป็นหนึ่งในคอลัมภ์นิสต์ของนิตยสาร Guitar World อีกด้วย)

ต้นยุค 80s Darrell (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า Diamond Darrell) ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการฟอร์มวงดนตรีที่มีชื่อว่า Pantera กับพี่ชายของเขา Vinnie Paul ซึงเป็นมือกลองฝีมือฉกาจ กับมือเบส Rex Smith (เป็นที่รู้จักกันสมัยนั้นในชื่อ Rex Rocker) และTerry Glaze ร้องนำ แรกเริ่มเดิมที Pantera เล่นดนตรีในแบบฉบับเดียวกันกับวงที่มีอิทธิพลต่อพวกเขา เช่น Def Leppard, Judas Priest และ Motley Crue มีผลงานออกมาสามอัลบั้ม(ซึ่งไม่ค่อยเป็นที่ถูกใจของพวกเขาเท่าไรนัก) คือ Metal Magic (1983), Projects in the Jungle (1984) และI Am the Night (1985) หลังจากนั้น Glaze ก็ออกจากวงไป

Pantera ได้นักร้องนำคนใหม่คือ Phil (Philip) Anselmo ซึ่งเข้ากับไสตล์ของวงได้ดีกว่ามาก อย่างไรก็ตามกว่าวงจะลงตัวแล้วเข้าขากันได้ต้องใช้เวลาอยู่พอสมควรกว่าจะค้นพบแนวทางของตนเอง และแนวดนตรีที่พวกเขาคิดว่ามาถูกทางแล้วก็คือ power metal Darrell และเพื่อนพ้องออกอัลบั้มแรกที่ใช้ชื่อว่าPower Metal ในปี 1998 กับสังกัด East West อย่างไรก็ตามอัลบั้มนี้ยังไม่ได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับกัน (แม้แต่สมาชิกของทางวงเองก็ไม่ชอบใจนัก และเป็นแนวดนตรีที่แตกต่างกันมากกับอัลบั้มยุคหลังที่สร้างชื่อเสียงให้กับทางวง)

Pantera ตัดสินใจบอกลาทิ้งความเป็น pop-metal ออกไปโดยสิ้นเชิง และหันหน้าเข้าสู่ความดุดันเหี้ยมเกรียมแทนด้วยอิทธิพลของ Slayer, Metallica และ Black Sabbath อันเป็นอานิสงค์ให้พวกเขาผลิตอัลบั้มชั้นยอดสุดคสาสิค Cowboy From Hell (1990) อันเป็นที่กล่าวขานถึงตราบ ณ ปัจจุบัน อัลบั้มต่อมาออกมาในปี 1992 ชื่อ Vulgar Display of Power และในปี1993 คือFar Beyond Driven ช่วงนั้น Darrell (ตอนนั้นใช้ชื่อว่า Dimebag Darrell แล้ว) กลายเป็นที่รู้จักกันทั่วในฐานะของเซียนกีตาร์สายเมทัลผู้เลื่องชื่อ ขณะที่ Pantera เองก็กลายเป็นต้นตำรับของดนตรีประเภท power thrash metal ไปด้วยเช่นกัน ทางวงออกผลงานมาอีกสองอัลบั้มซึ่งล้วนแล้วแต่ประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามคือ Great Southern Trendkill (1996), Official Live: 101 Proof (1997) และ Reinventing the Steel (2000) หลังจากนั้นก็แตกแยกกันจนถึงจุดจบของ Pantera บนเส้นทางสายเมทัลร่วม 20 ปี

นอกจากนี้ Darrell ยังเข้าไปมีส่วนร่วมในผลงานของศิลปินอื่น ๆ อีกคือ Anthrax (Stomp 442, Volume 8: The Threat Is Real, and We've Come for You All) และ Nickelback (The Long Road) โซโลอัลบั้ม Supercop และคัฟเวอร์ Fractured Mirror ของ Ace Frehley อัลบั้มSpacewalk: A Salute to Ace Frehley และร่วมกับ Vinnie Pual ในทีมของ David Allan Coe นักร้องแนวคันทรี่ ในโปรเจคที่ชื่อ Rebel Meets Reble ก่อนที่จะร่วมกับพี่ชายก่อตั้งวง Damageplan โดยใช้ชื่ออัลบั้มแรกว่า New Found Power ซึ่งติดชาร์ทอันดับที่ 38

Dimebag Darrell เสียชีวิตด้วยวัย 38 ปี จากการถูกฆาตกรรมระหว่างการแสดงของ Damageplan เมื่อวันพุธที่ 8 ธันวาคม 2004 (ซึ่งเป็นวันครบรอบ 24 ปีการเสียชีวิตของ John Lennon) ที่ Alrosa Villa Nightclub ในรัฐโอไฮโอ ช่วงเวลา 22:00 นาฬิกา เมื่อมือปืนอายุ 25 ชื่อว่า Nathan Gale กระโดดขึ้นบนเวทีหลังจากที่วงเริ่มแสดงได้ชั่วครู่ กล่าวหา Darrell บางอย่างเกี่ยวกับการแยกทางของ Pantera ก่อนที่จะยิง Darrel ในระยะเผาขนรวม 5 ถึง 8 ครั้ง แล้ว Gale ก็หันมายิงใส่สมาชิกคนอื่น ๆ ของทางวง ส่งผลให้นักร้องนำ Patrick Lachman ได้รับบาดเจ็บที่ขา จากนั้นเขาจึงยิงใส่ฝูงชน ทำให้มีผู้เสียชีวิตในที่เกิดเหตุอีกสามคนคือ Nathan Bray อายุ 23 ปี (หญิง) Erin Halk อายุ 29 ปี พนักงานของคลับ และ Jeff "Mayhem" Thompson อายุ 40 ปี บอดี้การ์ดของ Darrell, John Brook (drum technician) และ Chris Paluska ซึ่งเป็น tour manager ก็พลอยโดนลูกหลงบาดเจ็บไปตาม ๆ กัน นอกจากนี้มีผู้ได้รับบาดเจ็บอีกส่วนหนึ่ง ก่อนที่ Gale เองจะถูกยิงเสียชีวิตด้วยปืนลูกซองจาก เจ้าหน้าที่ตำรวจ James D. Niggemeyer ตามรายงานของจนท.ตำรวจ Gale สาดกระสุนใส่ผู้คนในงานคอนเสิร์ตรวมทั้งสิ้นสิบห้านัด ใช้เวลาบรรจุกระสุนใหม่หนึ่งครั้ง

แม้ว่า Darrell Lance Abbott จะจากเราไปแล้ว แต่สิ่งที่เขาทิ้งไว้บนโลกใบนี้และแฟน ๆ ชาวเมทัลก็คือผลงานอันทรงคุณค่าทั้งหลายที่เขาได้สร้างไว้ และภาพลักษ์ที่ไม่เคยมีใครลืมเลือนได้ cowboy ผมยาว เคราแพะ รองเท้า converse และกีตาร์ Washburn ตัวเป้ง ทำให้นึกถึงชายคนนั้น Dimebag Darrell

ประวัติ Guns N Roses

ในวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 1962 นายหนู Axl Rose หรือ William Bailey (นามสกุลยังกะแดง ไบเล่เลยวุ้ย) ก็ถือกำเนิดขึ้น
ถัดมาไม่กี่วัน 8 เมษายนปีเดียวกัน Izzy Stradlin [Jeff Isbell] ก็คลานออกมา
วันที่ 5 กุมภาพันธ์ 1964 Duff McKagan [Michael McKagan] ก็ตามมาอีกคน
วันที่ 22 มกราคม 1965 Steven Adler ก็เกิดตามมา
คนสุดท้าย วันที่ 23 กรกฏาคม 1965 นายฟู Slash (Sual Hudson) ก็เกิดมาจนได้

ช่วงประมาณปี 1972-1976 Steven Adler กับ Slash ก็ย้ายLos Angelis ตั้งแต่ปี 1976 -1983 นายพวกที่เอ่ยๆ ชื่อมาข้างบนนั่นน่ะ ก็ต่างคนต่างเล่นดนตรีไปตามเรื่องตามราว โดยที่เจอกันบ้าง แต่ไม่ได้มีอะไรไปกว่าเพื่อนร่วมอาชีพเท่านั้น แต่.... ช่วงปลายๆ ปี 1983 Axl ก็ได้พบกับ Izzy และ Chris Weber และ Johnny Kreiss แล้วก็ตั้งวงดนตรีขึ้นชื่อว่า A.X.L และภายหลังก็เปลี่ยนมาเปง Rose ในภายหลัง แต่สุดท้ายพวกเค้าก็เปลี่ยนชื่อวงอีกครั้งคือ Hollywood Rose

ปลายปี 1984 Izzy ก็แยกตัวไปอยู่วง London กับ Chris Weber และ Axl ก็ลาออกจากวง Hollywood Rose และไปฟอร์มวงใหม่ชื่อว่า LA. Gun โดยมีสมาชิกอีกสองคนก็คือ Ole Beich และ Rob Gardner พอ

สิ้นปี 1984 Hollywood Rose ก็กลับมารวมตัวเฉพาะกิจอีกครั้ง และ Tracii Guns ก็เข้ามาแทน Chris Weber ต้นปี 1985 Duff ตัดสินในหันมาเล่นเบส และได้พบกับ Steven Adler กะ Slash โดยที่ตอนนั้นพวกเค้าก็ฟอร์มวงขึ้นมาคือ Road Crew และ Slash ก็โชว์ท่อน Riff ที่คิดขึ้นมาสดๆ ซึ่งภายหลังก็คือเพลง Paradise City นั่นเอง

26 มีนาคม 1985 LA Gun และ Hollywood Rose ก็มารวมตัวกันโดยใช้ชิ่อว่า Gun 'N Roses โดยที่พวกเค้าไม่ยอมรับชื่อวงอีก 2 ชื่อก็คือ Head of Amazon และ AIDS โดยที่มีสมาชิกดังนี้ Axl, Izzy, Tracii Guns, Beich และ Gardner ต่อมา Duff ก็เข้ามาแทน Beich

และนี่ก็คือรายชื่อสมาชิก Gun 'N Roses ในยุคก่อตั้ง

W. Axl Rose (vocals)
Izzy Stradlin (guitar)
Tracii Guns (guitar)
Duff McKagan (bass)
Rob Gardner (drums)

ต่อมา ในวันที่ 6 มิถุนายน 1985 Slash กับ Steven Adler ก็เข้ามาแทน Tracii Guns และ Rob Gardner

ช่วงปลายปี 1985 G'N R ก็เริ่มแต่งเพลงของตัวเอง หลังจากที่เล่นเพลงของคนอื่นมานาน โดยที่เพลงเหล่านั้นก็คือ Welcome To The Jungle, Reckless Life, It's So Easy และ Don't Cry ช่วงนี้พวกเค้าได้รับความนิยมอย่างมาก คลับที่พวกเค้าไปแสดงได้รับการต้อนรับอย่างล้นหลาม

โดยที่คลับเหล่านั้นก็ต้อนรับศิลปินระดับโลกมาแล้วมากมาย คลับพวกนี้ก็คือ

Whisky a Go-Go, Roxy, The Water Club, Troubadour

25 มีนาคม 1986 พวกเค้าก็ได้เซ็นสัญญากับ Geffen Record และพวกเค้าก็เริ่มทำอัลบั้ม Appertite for Destruction

ประมาณปลายปี 1986 พวกเค้าก็อัดอัลบั้มแรกเสร็จ ทาง Geffen ก็วางแผนว่าจะวางจำหน่ายอัลบั้มนี้ในเดือนกรกฏาคม 1987 และทาง Geffen ก็ปล่อย EP ของพวกเค้าออกมาก็คือ Live Like A Suicide

15 มิถุนายน 1987 Single It's so easy และ Mr.Brownstone ก็วางจำหน่าย และแล้ว 21 กรกฏาคม 1987 อัลบั้มแห่งประวัติศาสตร์ Appertite for Destruction ก็ออกวางจำหน่ายในอเมริกา และเดือนสิงหาคม ก็วางจำหน่ายที่อังกฤษ 29 กันยายน - 8 ตุลาคม 1987 ทางวงออกทัวร์ในยุโรป โดยที่ไปจบที่ Hammersmith Odeon ในลอนดอน

โดยในระหว่างทัวร์ที่ Amsterdam Axl ก็พ่นคำนี้ออกมา "people like Paul Stanley from Kiss can suck my dick! And some of these old guys, that say we're ripping them off, maybe they should listen to some of their earlier albums and remember how to play them"

เดือนพฤศจิกายน 1987 พวกเค้าร่วมทัวร์กับ Motley Crue Slash กับ Steven Adler ก็ช่วย Nikki Sixx (มือเบสจอมระห่ำ) จากอาการช๊อกยา

23 เมษายน 1988 Appertite for Destruction ก็ติดอันดับ 10 ของ Billboard จนได้

23 กรกฤาคม 1988 อัลบั้มนี้ก็ขึ้นไปจนถึงอันดับ 1 ของ BillBoard

30 พฤศจิกายน 1988 ทาง Geffen และทางวงก็ปล่อยอัลบั้มซึ่งเป็นงานรวมเพลงเก่าๆ ของพวกเค้า และเพลงที่เล่นในแบบ Acoustic ออกมาคือ Lies! The Sex, The Drugs, The Violence, The Shocking Truth แต่หลายๆ คนบอกว่ายาวชิบหาย ก็เลยเปลี่ยนเป็น G N' R Lies

ในช่วงนี้พวกเค้าก็ออกทัวร์อีกมากมาย จนเกิดเรื่องเกิดราวเยอะแยะ แต่ไม่มีเหตุการไหนที่จะโด่งดังเท่าอันนี้

11 กันยายน 1989 G N' R ได้รับรางวัล Best Heavy Metal/Hard Rock Video ได้จากเพลง Sweet Child O' Mine แต่หลังเวที Vince Neil ต่อยปาก Izzy จนปากของ Izzy แหกเพราะแหวนที่นิ้ว และบังเอิญชิบที่กล้องสามารถจับภาพนั้นได้ด้วย อุอุ

เดือนกุมภาพันธ์ 1990 Darren (Dizzy) Reed เข้ามาร่วมวงในตำแหน่ง Keyboard

11 กรกฏาคม 1990 Steven Adler ถูกไล่ออกจากวงเนื่องจากไม่หยุดเสพยา และผู้มาแทนก็คือ Matt Sorum จากวง The Cult

ช่วงเดือนกันยายน 1990 พวกเค้ามีเพลงอยู่ในกำมือถึง 36 เพลง โดยที่จะตั้งชื่ออัลบั้มว่า Use Your Illusion ตามภาพเขียนของ Mark Kostabi โดยที่ทาง Geffen และ ทางวงจะวางขายเป็นอัลบั้มคู่ และในหนึ่งอัลบั้มจะมี 2 แผ่นด้วยกัน

9 พฤศจิกายน 1990 Axl, Slash, Duff, Sebastian Bach (Skid Row), James Hetfields & Kirk Hammett และ Lars Ulrich ร่วมตัวกันในงาน RIP magazine's party ที่ Hollywood Palladium โดยใช้ชื่อวงว่า GAK และเล่นเพลง You're Crazy, For Whom The Bell Tolls, Piece Of Me, Hair Of The Dog, Whiplash (#1) and Whiplash (#2)

20 - 23 มกราคม 1991 ทางวงได้ไปเปิดคอนเสิร์ทที่ Rio de Janeiro ท่ามกลางคนดูจำนวนมหาศาล สองรอบรวมกัน 260,000 คน!!!

25 มิถุนายน 1991 You're could be mind ออกวางจำหน่ายใน US. และเพลงนี้ก็ได้นำไปเป็น Soundtrack ในหนังเรื่อง Terminator2 : Judgememt Day โดยที่มีพี่กล้าม Arnold Schwarzenegger ได้มาเป็นพระเอกมิวสิกด้วยล่ะ กักๆๆ

ในช่วงนี้ทางวงก็ไปทัวร์คอนเสิร์ทในประเทศแถบสแกนดิเนเวีย โดยที่ทางวงก็ได้ก่อเรื่องก่อราวมากมายมหาศาล เช่นพังห้องพัก ทุ่มทีวีลงมาจากห้องพัก เหล้า ผู้หญิง แต่ก็อย่างว่าตั๋วทุกใบจำหน่ายเกลี้ยง รวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 370,000 ใบ โอววววว

16 กันยายน 1991 Use Your Illusion I&II ออกวางจำหน่ายที่ยุโรป

17 กันยายน 1991 Use Your Illusion I&II ออกวางจำหน่ายที่อเมริกา

น่าแปลกที่ชุด II ออกวางจำหน่ายก่อน และแปลกกว่าก็คือทั้งสองอัลบั้ม ขึ้นอันดับ 1 และ 2 ใน Billboard ทันที ซุ๊ดหยอดว่ะ

7 พฤศจิกายน 1991 Izzy Stradlin ลาออกจากวงและผู้ที่มาแทนก็คือ Gilby Clarke จากวง Kill For Thrills และสมาชิกยุคนี้ก็คือ

W. Axl Rose (lead vocals, piano)
Slash (lead guitar, backing vocals)
Duff McKagan (bass, backing vocals)
Gilby Clarke (rhythm guitar, backing vocals)
Dizzy Reed (keyboards, percussion)
Matt Sorum (drums, backing vocals)

และในโชว์คอนเสิร์ทที่ Worcester, MA. โดยที่มี Soundgarden มาเป็นวงเปิด ทางวงก็นำนักดนตรีสนับสนุน โดยที่มีพวกเครื่องเป่ามาเล่นด้วย
Ted Andreadis (keyboards, harmonica, background vocals)
Diane Jones (background vocals)
Roberta Freeman (background vocals)
Tracy Amos (background vocals)
976-Horns: Lisa Maxwell (horns)
Cece Worrall (horns)
Anne King (horns)

9 ธันวาคม 1991 ทางวงก็เล่นที่ Madison Square Garden ต่อหน้าผู้ชมกว่า 160,000 คน

31 ธันวาคม 1991 ฉลองปีใหม่กันที่ Joe Robbie Stadium 180,000 คน อูยยยย

20 - 22 มกราคม 1992 Live at Tokyo Dome โชว์สามรอบคนดูรวม 250,000 คน และทำมีการบันทึกเทปอีกด้วย

20 เมษายน 1992 ทางวงได้ไปร่วมในคอนเสิร์ท The Freddie Mercury Tribute Concert for AIDS Awareness. ต่อหน้าผู้ชมเต็มสนาม Wembley 170,000 คน โดยที่พวกเค้าร้องเพลง Paradise City และ Knockin' On Heaven's Door และร่วมร้องกับป้าแอ๋ว (Elton John) ในเพลง Bohemian Rhapsody และ We will rock you & We are the Champion

12 พฤษภาคม - 4 กรกฏาคม 1992 ทัวร์ยุโรป รวมแฟนเพลงกว่า 600,000 คน ตั๋วขายหมดเกลี้ยงจ้า

9 กันยายน 1992 Axel ด่า Courtney Love (เมีย Kurt Kobain) ว่า " You shut your ###### up or I'm taking you down to the pavement!" ทาง Kurt ก็ไม่ได้พูดอะไรนอกจากคำว่า "Shut up, ######!" ให้กับเมียตัวเอง ในงานเปิดตัวหนังสือ "Come As You Are The Story Of Nirvana" ของ Michael Azerrad

8 ธันวาคม 1992 ทางวงปล่อยบันทึกการแสดงสดครั้งแรกของวงออกมา โดยใช้ชื่อว่า Use Your Illusion World Tour 1992 In Tokyo ไปหามาดูกันนะครับ มันส์สุดๆ เลยล่ะ ในช่วงนี้ทางวงก็ออกทัวร์อีกหลายร้อยโชว์ โดยที่มีผู้ชมหลายแสนคน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตั๋วจะขายหมดหรือไม่หมด อุอุ อ่อ...ช่วงนี้ทางวงก็เริ่มทำอัลบั้มใหม่เหมือนกันด้วย

23 พฤศจิกายน 1993 ทางวงก็ออกอัลบั้มใหม่ ซึ่งเป็น Cover Album ออกมา คือ The Spaghetti Incident?

เดือนมิถุนายน 1994 Gilby Clark ถูกไล่ออกจากวง

เดือนตุลาคม 1994 Slash's Snakepit ซึ่งเป็นวงเดี่ยวของ Slash ทำอัลบั้มเสร็จ และจะวางจำหน่ายในเดือนกุมภาพันธ์ 1995

กุมภาพันธ์ 1995 Slash's Snakepit ออกวางจำหน่าย โดยที่มีสมาชิกดังนี้

Slash, Gilby, Matt Sorum, Eric Dover (ต่อมาก็มาตั้งวง Jelly fish) และ Mike Inez (Alice in chain)

30 ตุลาคม 1996 Slash ลาออกจากวง ทางวงก็ไม่ได้สนใจอะไร ยังคงทะเลาะและมีปัญหากันตลอดเวลา สาเหตุก็คือเรื่องเงินและสุรา+ยาเสพติด

เดือนมกราคม 1997 Axl ก็ได้เป็นเจ้าของลิขสิทธ์ชื่อ Guns N' Roses แต่เพียงผู้เดียว

21 กรกฏาคม 1997 ครบรอบ 10 ปี Appertite fot Destruction

เดือนสิงหาคม 1997 Duff ลาออกจากวง

16 มีนาคม 1999 Steven Adler เป็นผู้รับรางวัล Diamond Award จาก RIAA เนื่องจากอัลบั้ม Appertite for Destruction ขายได้เกิน 15 ล้านแผ่นทั่วโลก

30 พฤษจิกายน 1999 อัลบั้ม "Live Era '87 - '93" ออกวางจำหน่าย ในช่วงนี้ก็มีนักดนตรีชื่อดังหลายคนเข้าๆ ออกๆ วงกันเป็นว่าเล่น โดยมีทราบชื่อดังนี้

Bryan "Brain" Mantia, Buckethead and Robin Finck และ Josh Freese

และก็ช่วงนี้ Slash, Duff และ Matt ก็รวมตัวกันอีกครั้ง โดยมี Josh Todd มาร้องนำและ Keith Nelson มาเล่นกีต้าร์ให้ ในงาน Randy Castillo Tribute

หลังจากนั้นพวกเค้าก็ร่วมกับ Sen Dog (Cyperss Hill) และ Steven Tyler จาก Aerosmith ออก Single มา มีเพลง It's So Easy, God Save The Queen, Nice Boys, Lit Up, Paradise City และ Mama Kin

หลังจากนั้น Axl และ G N'R ของเค้าก็ออกทัวร์อีกครั้ง

ถ้าจำได้ นาย Buckethead เอาเคเอฟซีบักเกตมาสวมหัว ทำให้คล้ายๆ Slash อ่ะ จำได้มั้ย 555

6 มิถุนายน 2003 Scott Weiland, Duff McKagan, Matt Sorum, Slash และ Dave Kushner รวมตัวกันฟอร์มวง Velvet Revolver

15 มีนาคม 2004 Geffen ออกรวมงาน Greatest Hits ในยุโรป โดยที่ติดอันดับ 1 ใน 9ประเทศ ที่อังกฤษ ติดอันดับหนึ่งนานถึง 5 สัปดาห์

23 มีนาคม 2004 Greatest Hits วางจำหน่ายที่อเมริกา ติดอันดับ 3 ทันที สุดท้ายแระ

7 ธันวาคม 2004 Velvet Revolver เข้าชิง Grammy Award สาขา Best Hard Rock Performance, Best Rock Song และ Best Rock Album หมดซะที ยาวเหยียดสะใจดีมะ

สำหรับข่าวคราวของวงก็ไปติดตามกันเอาเองนะ จริงๆ แล้ว ยังมีอีกเยอะที่ไม่ได้แปลมา เพราะมันเยอะจัด แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นเรื่องที่ทางวงอาละวาด ทำลายข้าวของ ข่าวเรื่องเมาแล้วเปรี้ยว โดนจับเรื่องยา สุดท้ายวง Heavy Metal ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในยุค 80 ก็ต้องจบลงไป โดยที่จะกลับมารวมตัวกันอีกคงเป็นเรื่องที่ยากมาก แต่ถ้าเงินถึงจริงๆ คงไม่ใช่เรื่องยากอะไรที่จะเห็น Guns N' Roses สมาชิกเดิมและอัลบั้มใหม่แน่นอน

ประวัติวง Nirvana และ Kurt Cobain

ช่างเวลาหนึ่งของวงการดนตรีของอเมริกานั้นต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าเป็นยุคของร็อคผมยาว ชุดหนัง รองเท้าหนัง นิสัยต้องกร่างทำตัวแย่ๆเข้าไว้ มีเรื่องให้เยอะ ประดุจว่าเป็นเทพเจ้า และบทเพลงต้องมีโซโล่ที่รวดเร็วประดุจลมกรด และที่สำคัญจะต้องเป็นวงร็อคที่มีสมาชิกในวงเป็นกีต้าร์ฮีโร่ถึงจะเป็นที่นิยม แต่เมื่อวันเวลาผ่านไปดนตรีเหล่านั้นได้ถูกเบียดตกขอบ โดยชายผู้หนึ่งที่เล่นกีต้าร์อย่างไม่มีเทคนิคหรือทฤษฎีอะไรมากมายเลย เขาไม่ใช่คนที่เล่นโซโล่เร็วหรือเพลงแทบไม่มีโซโล่เลยก็ว่าได้ เพลงไม่มีรูปแบบซับซ้อนอีกทั้งวงไม่ต้องใช้สมาชิกเยอะมากมาย มีเพียงแค่ 3 ชิ้นเท่านั้น

บทเพลงของเขารวมถึงในส่วนของดนตรีนั้นเขาเล่นมันออกมาจากใจและอารมณ์ดิบที่รอการปลดปล่อยออกมาทางบทเพลง บุคคลผู้นี้คือคนที่มาเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ของดนตรีอีกหนึ่งหน้า และโลกจะต้องจดจำเขาผู้นี้ไปตลอดกาล เขาคือ Kurt Cobain ความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับตัวของ Kurt นั้นมันมาอย่างรวดเร็วมากนั้นตอนที่เขาเป็นที่รู้จักไปทั่วโลกนั้นเขามีอายุเพียงแค่ 20 ปีเท่านั้น นับได้ว่าเป็นความสำเร็จที่ได้มาอย่างรวดเร็วเหลือเกิน Kurt เกิดเมื่อวันที่ 20 เดือน กุมภาพันธ์ ปี 1967 ในเมือง Aberdeen รัฐ Washington.ในช่วงวัยเด็กเขาเป็นเด็กที่ช่างกระตือรือร้นแทบทุกเรื่อง Kurt เป็นเด็กที่น่ารักชอบเล่นสนุกอย่างเด็กๆทั่วไป แต่พอเมื่อเขาย่างเข้าอายุ 7 ขวบทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตเขาเริ่มที่จะเปลี่ยนจุดแรกที่เปลี่ยนอย่างเห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ สภาพครอบครัวต้องแตกแยก พ่อและแม่ของเขาตัดสินใจแยกทางเดินที่จะอยู่ด้วยกันและอีกจุดคือพ่อและแม่ของเขาส่งเขาไปอยู่กับญาติ และจุดเหล่านี้แหละที่เริ่มทำให้ Kurt เริ่มที่จะแตกต่างจากเด็กทั่วๆไป และเด็กหลายๆคนก็มักที่จะเจอปัญหานี้เช่นกันนั้นคือ การขาดความอบอุ่นและการใส่ใจดูแล หากใครได้สังเกตเห็นเนื้อเพลงของ Nirvana ที่ชื่อว่า Silver เพลงนี้แหละครับที่เขาแต่งมันออกมาเพื่อสะท้อนชีวิตที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ ชีวิตของ Kurt เริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงขึ้นเรื่อยๆ เขาเริ่มเก็บตัวเงียบๆไม่ค่อยพูดคุยกับใครมากนัก เขาเริ่มเกลียดโรงเรียนและเริ่มที่จะไม่ไปเรียน

Kurt เริ่มหันมาสนใจศิลปะและชอบวาดรูปแทนการไปเรียนหนังสือ และอีกสิ่งในชีวิตของเขาที่ชอบและขาดไม่ได้เลย อีกทั้งเป็นต้นกำเนิดในการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งด้วย นั้นคือ “ ดนตรี ” ในช่วงแรกนั้นเขาเริ่มฟังเพลงของวง The Beatles และ The Monkees ต่อมาจุดเปลี่ยนแปลงและต้นกำเนิดของ Nirvana เกิดขึ้นเมื่อเขาได้รู้จักกับวงอย่าง Black Sabbath, The Sex Pistols และวง The Clash เป็นต้น จะเห็นได้ว่าวงพวกนี้จะมีความเป็นพังก์และความดิบของดนตรีร็อกอยู่สูง ดังนั้นดนตรีเหล่านี้จึงสะท้อนออกมาทางบทเพลงของ Nirvana อยู่เยอะที่เดียว และเมื่อถึงวันเกิดครบรอบ 14 ปีของเขา Kurt ก็ได้ซื้อกีต้าร์ตัวแรกในชีวิตและเขาก็เริ่มหัดและทกลองเล่นในสิ่งที่แตกต่างออกไปจากมือกีต้าร์คนอื่นๆ และKurt ยังได้ก่อตั้งวงขึ้นมาหนึ่งวงและตั้งชื่อมันว่า Melvins และ Kurt ก็ได้ทำสิ่งหนึ่งที่คนอื่นๆที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกันไม่กล้าทำและเป็นสิ่งที่บรรดาผู้ใหญ่ต่างก็คิดไม่ถึงนั้คือการที่เขาตัดสินใจออกจากโรงเรียนก่อนที่จะจบในอีกไม่นานเพื่อที่จะมาเล่นดนตรี แต่ต่อมาทุกอย่างก็ต้องกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้งเมื่องานในสายดนตรีมันไม่ได้ยืนยาวอย่างที่เขาคิด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น Kurt ก็ไม่ได้ท้ออะไรเกี่ยวกับมันมาก

มันกลับยิ่งเป็นแรงส่งให้เขาตั้งวงขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งวงซึ่งเป็นวงดนตรีสามชิ้น และใช้ชื่อว่า “ Nirvana ” ในยุคแรกของ Nirvana มีสมาชิกหลักๆก็คือ Kurt ที่รับตำแหน่งร้องและเล่นกีต้าร์ Krist Novaselic รับตำแหน่งมือเบส ในส่วนของมือกลองนั้นยังต้องคอยสลับสับเปลี่ยนมือกลองเข้ามาใหม่อยู่เป็นเรื่องประจำ และแล้วในที่สุดความฝันของพวกเขาก็เป็นจริงเมือ่อัลบัมชุดแรกได้ออกมาในชื่อชุด Bleach เมื่อปี 1989 พวกเขาเริ่มออกทัวร์ แม้ว่าจะยังไม่เป็นที่รู้จักซักเท่าไหร่นักแต่ Nirvana ก็มีแฟนเพลงอยู่กลุ่มหนึ่ง และซิงเกิ้ลที่สองก็ได้ออกมาแต่ก็ไม่เป็นที่ประสบความสำเร็จ จึงส่งผลให้ทางวงตัดสินใจที่จะเปลี่ยนสังกัดอยู่ และก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงอะไรหลายๆอย่างเริ่มจากพวกเขาได้อยู่สังกัด Geffen การเปลี่ยนแปลงที่สองก็คือ Nirvana ได้สมาชิกใหม่และเป็นสมาชิกถาวรจนถึงปัจจุบันนั้นคือ Dave Grohl ซึ่งมารับตำแหน่งมือกลอง

การเปลี่ยนแปลงอย่างสุดท้ายถือว่าเป็นการเปลี่ยนวงการดนตรีทั้งโลกเลยก็ว่าได้เพราะพวกเขาได้ออกอัลบัมที่กลายเป็นอมตะไปซะแล้วสำหรับโลกนี้นั้นคืออัลบัมชุด Nevermind ซึ่งอัลบัมชุดนี้นอกจากจะเปลี่ยนกระแสดนตรีแล้วก็ยังมีเพลงฮิตตลอดกาลอย่าง "Smells Like Teen Spirit " , "Come as You Are" และ "Something in the Way " พวกเขากลายเป็นฮีโร่ของเด็กรุ่นใหม่และไม่มีทางที่จะปฎิเสธได้เลยว่าวัยรุ่นที่หัดเล่นกีต้าร์ในยุคนั้นจะไม่เคยแกะเพลงของเขาเล่น และความสำเร็จของ Nirvana ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักและเป็นที่นิยมมากยิ่งขึ้นเมื่อพวกเขาได้ออกรายการ MTV's Headbanger's Ball และ NBC's Saturday Night Live. Nirvana เริ่มออกทัวร์กันอย่างหนักแบบประมาณว่าน้ำขึ้นให้รีบตัก แต่อย่างไรก็ตามความสำเร็จของพวกเขาที่เข้ามาถึงจะเป็นเรื่องที่ดีแต่ก็มีเรื่องที่เลวร้ายเข้ามาด้วยเช่นกัน เมื่อ Kurt เริ่มที่จะติดยาเสพติดอย่างหนักไม่ว่าจะเป็นมอร์ฟีนหรือเฮโรอีน หลายต่อต่อหลายครั้งที่ Kurt ให้สัมภาษณ์เขามักจะบอกว่าเขาต้องใช้ยาพวกนี้เพื่อที่จะระงับอาการปวดท้องอย่างรุนแรงจากโรคกระเพาะ และนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของความหายนะที่ยิ่งใหญ่ที่กำลังตามมา

ปี 1992 Kurt ได้พบกับการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งเพราะเขากำลังจะแต่งงานกับ Courtney Love ศิลปินสาวแห่งวงร็อกอย่าง Holeและแล้วทั้งคู่ก็ได้ลูกสาวหนึ่งคน

ปี 1993 ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการสูญเสียเมื่อ Kurt เริ่มที่จะหันหน้าเข้าหาเฮโลอีน เขาติดมันจนถอนตัวไม่ขึ้นอย่างแน่นอน และแล้วงานต่างๆที่เข้ามาหลายๆครั้ง Kurt ก็ทำมันเสีย บางครั้งเขาก็เล่นแบบไม่จบคอนเสริต และในปีนี้ Nirvana ก็ได้ออกอัลบัมมาอีกหนึ่งชุดนั้นคือ In Utero และอัลบัมชุดนี้ก็กลายเป็นประวัติศาสตร์อีกด้วยเนื่องจากเป็นอัลบัมที่บันทึกเสียงในสตูดิโอเป็นชุดสุดท้ายของ Nirvana ปี 1994 Nirvana ได้เล่นคอนเสริตที่ดีอีกหนึ่งคอนเสริตนั้นคือ MTV unplugged

และแล้วสิ่งที่ทุกคนไม่อยากให้เกิดขึ้นเลยนั้นก็คือ Kurt ตัดสินใจใช้ปืนลูกซองยิงกรอกปากตัวเอง และศพของ Kurt ถูกพบหลังจากการตายสามวัน นั้นคือ วันที่ 8 เมษายน ปี 1994 ซึ่งนับว่าเป็นการสูญเสียที่ยิ่งใหญ่อีกครั้งของวงการดนตรีอีกครั้ง

ประวัติวง Rammstein ' อินดรัส โรคจิต จากเยอรมัน

Rammstein เป็นวง อินดัสเทรียลจากเยอรมันคับ ฟอร์มวงในปี 1994 โดยมือกีตาร์สุดหล่อของวง Richard Z. Kruspe รวบรวมสมาชิกจกวงต่างๆเอาไว้ด้วยกัน โดยชื่อวงนั้นได้มาจากชื่อของสนามบิน Ramstein ที่เคยเกิดเหตุเครื่องบินเจ็ตตกระหว่างโชว์การบินทำให้มีผู้เสียชีวิตและผู้บาดเจ็บมากมาย นอกจากนี้ชื่อวงยังสามารถแปลเป็นภาษาอังกฤษได้ว่า Battering Ram สมาชิกประกอบด้วย

Till Lindemann (Vocals)
Richard Z. Kruspe (Guitars)
Paul H. Landers (Guitars)
Oliver "Ollie" Riedel (Bass)
Christoph "Doom" Schneider (Drums)
Christian "Flake" Lorenz (Keyboards)

ดนตรี ของ Rammstein ถ้าเข้าใจกันแบบสากลอาจจะเรียกได้ว่าเป็น อินดัสเทรียลเมทัล (Industrial Metal) แต่ทางวงเรียกแนวเพลงที่เล่นว่า Tanz Metal (Dance Metal) หรือเพลงเมทัลที่มีบีตเต้นรำเป็นส่วนผสม ซึ่งสไตล์นี้จะปรากฎอยู่ในอัลบั้มยุคแรกๆของวง ด้วยเหตุนี้เราจึงจัดพวกเขารวมอยู่ในกลุ่ม NDH หรือ Neue Deutsche Härte (New German Hardness) ซึ่งเป็นกลุ่มของวงดนตรีที่มาจากประเทศเยอรมัน โดยเอกลักษณ์ของวงจากกลุ่มนี้คือจะร้องเพลงเป็นภาษาเยอรมันและดนตรีมีส่วน ผสมของอิเลกโรนิกส์ อินดัสเทรียล และอื่นๆ วงที่จัดอยู่ในกลุ่มนี้ได้แก่ OOMPH, Eisbrecher, Megaherz เป็นต้น

Rammstein อัลบั้มแรกของวงออกมาปี 1995 ชื่อ Herzeleid (Heartache) พวกเขาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูงในประเทศเยอรมันและประเทศในแถบยุโรป ด้วยเพลงที่หนักแน่น อิมเมจที่สุดโต่ง และการแสดงอันเร้าใจไม่ว่าจะเป็นการจุดไฟเผาตัวเอง พลุไฟ ปืนไฟ ธนูเพลิงเป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามพวกเขาก้ได้รับเสียงวิพากวิจารณ์จากสื่อในด้านลบว่าพวกเขา เป็นนาซี โดยอ้างว่าหน้าปกที่เป็นรูปของผู้ชายเปลือยเปล่านั้นแสดงให้เห็นถึงความ เชื่อในชนชาติอาระยัน รวมถึงชื่อเพลงอย่าง Weisses Fleisch (White Flesh) นอกจากนี้ยังมีสื่อบางเล่มพูดถึงสไตล์การร้องของ Till ว่ามีลักษณะการออกเสียงตัว rrrrrrrrrrrrrrrrrr คล้ายๆกับอดอฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งแน่นอนทางวงปฎิเสธอย่างสุดขั้วว่าตนไม่ใชนาซี ซิงเกิลจากอัลบั้มนี้ได้แก่ Du Richst so gut, Seeman (เพลงนี้ดังขนาดวง Apocalyptica เอาไปคัฟเวอร์ด้วยนะคับ) และ Rammstein ซึ่งเพลงนี้ประกอบภาพยนตร์ที่ชื่อว่า Lost Highway ด้วย

อัลบั้มที่ 2 คือ Sehnsucht (Hunger หรือ Longing) ออกในปี 1997 ได้รับการตอบรับอย่างดีจากแฟนเพลงโดยเฉพาะซิงเกิลยอดฮิตที่ชื่อว่า Du Hast (You Hate หรือ You Have ความหมายของเพลงนี้ยังเป็นการถกเถียงอยู่ ซึ่ง Till ออกมาแถลงภายหลังว่าเขาต้องการให้มองได้ 2 แบบ ถือว่าเป็นความชาญฉลาดในการเขียนเนื้อร้องจริงๆ) เพลงนี้ดังข้ามนำข้ามทะเลไปถึง USA และในที่สุดพวกเขาก้ได้รับการดึงไปทัวร์ที่อเมริการ่วมกับวงอย่าง Korn หรือ Limp Bizkit ในเทศกาล Family Valua ปี 98 ทำให้สามารถเพิ่มฐานแฟนเพลงมากยิ่งขึ้นในต่างประเทศ อัลบั้มนี้ดังมากจนต้องออกเป็นเวอร์ชั่นต่างๆไม่ว่าจะเป็น USA Edition, Japanese Edition หรือ Australian Edition (แผ่นที่ผมมีเป็นเวอร์ชั่นนี้ ซึ่งจะเพิ่มเพลงในแบบแสดงสดมา และเพลงคัฟเวอร์วง Depeache Mode อย่าง Stripped) ส่วนซิงเกิลอื่นก็ประสบความสำเร็จรองลงมาคือ Engel (Angel) ซึ่งได้ Bobo นักร้อง ญ ชาวเยอรมันมาร้องให้

ในปี 1999 ทางวงได้ออกอัลบั้มแสดงสดชือ่ Live aus Berlin โดยออกเป็นทั้งซีดีและดีวีดี มี 2 เวอร์ชั่นคือ Uncensor Version และ Sensor Version ซึ่งต่างกันตรงที่เวอร์ชั่นแรกมีเพลง Buch Dich แต่เวอร์ชั่นหลังไม่มี โดยโชว์นี้มีคนดูถึง 3 หมื่นคน ถือว่าเป็นคอนเสิร์ตที่ใหญ่ที่สุดที่ทางวงเคยจัดมา ใครยังไมได้ดูให้รีบหามาดูคับมันมากๆ

อัลบั้มชุดที่ 3 Mutter (Mother) ออกในปี 2001 อัลบั้มนี้เป็นอัลบั้มที่ดีที่สุดของวง มีเพลงฮิตๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Links 2 3 4 ๖ศำดะ 2 3 4 ซึ่งแต่งเนือ้หาเสีดสีนาซี เพลง Sonne (Sun) Mutter, Ich Will (I Want) และ Fuere Frie (Fire at Will) เพลงนี้ประกอบหนังเรื่อง XXX ด้วย ความมาแรงแซงโค้งของวงทำให้อัลบั้มนี้ออกมาหลายเวอร์ชั่นมาก (ที่น่าเก็บคือ เวอร์ชั่นของญี่ปุ่นซึ่งจะเพิ่มเพลงคัฟเวอร์ของ Ramones มา 1 เพลง) นอกจากนี้ทางวงยังได้ออกหนังสือชีวประวัติของวงมาให้แฟนๆเก็บไว้บูชาอีกต่าง หาก โดยได้รวบรวมภาพหายากจากทางวงและบทสัมภาษณ์ที่หาดูที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว ความหนากว่า 200 หน้า ราคา 40 เหรียญ ไม่รวมค่าส่ง ซึ่งทานสมารถสั่งได้ทางเว็บ amazon.com คับ หนังสือเล่มนี้สำหรับแฟนเพลงระดับเดนตายของวงจิงๆ แถมท้ายด้วยการออกดีวีดีมาดูดเงินอีกซักตัวคับ ชือ่ Lichtspielhaus แปลเป็นไทยว่า โรงหนัง เป็นการวมโชว์ของวงตามที่ต่างๆและมิวสิควิดีโอทุกตัวอีกด้วย น่าเก็บมากคับ นอกจากนี้กราฟฟิคในดีวีดีตัวนี้ยังอยู่ในระดับสุดยอด เรียกว่าเป็น Hidden Treasure ของทางวงจิงๆคับ เพราะปัจจุบันนี้แทบจะขาดตลาดไปหมดแล้ว

อัลบั้ม ชุดที่ 4 ของวง Reise Reise (Voyage Voyage) ออกในปี 2004 มีเพลงฮิตไม่ว่าจะเป็น Mein Teil (My Part) ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุฆาตรกรรมสยองที่เกิดขึ้นจริงในเยอรมัน โดยเป็นเรื่องของชาย 2 คนที่รู้จักกันในอินเตอร์เน็ตและนัดมาเจอกัน และตกลงกันว่าจะให้อีกคน "กิน" อีกคน สยดสยองมาก เพลง American ที่ร้องท่อนฮุคเป็นภาษาอังกฤษ เพลง Ohne Dich (Without You) และ Kein Lust (No Lust) นอกจากนี้ยังมีเพลงที่ชื่อว่า Moscow ซึ่งตอนแรกมีข่าวลือว่าร่วมงานกะวงโลลิค่อนรัสเซียนาม TATU แต่สุดท้ายก็เป็นแค่ข่าวลือ ต่อมาทางวงก็ได้ออกอัลบั้มรวมเพลงบี ไซด์ที่ไมได้ใช้ในอัลบั้ม Reise Reise อย่าง Rosen Rot (Red Rose) ออกมา โดยงานชุดนี้ก็มีซิงเกิลหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น Benzin, Rosen Rot, Mann gegen Mann (มิวสิควิดีโอเพลงนี้ปัจจุบันหาดูได้ยากแล้ว เพราะโดนแบนในหลายๆประเทศ แม้แต่ในยูทูบก็ยังสั่งแบนมิวสิคตัวนี้)

ใน ปี 2006 ก็ถือว่าเป็นปีดีอีกปีของทางวงโดยได้ออกอัลบั้มแสดงสดชุดที่ 2 Volkball ซึ่งมาเป็นแผ่นดีวีดีและวีซีดีคู่กัน ซึ่งบอกได้คำเดียว่าสุดตีน ตั้งแต่ตัวแพกเกจที่กางออกมาเป็นโลโก้ของวงได้ หรือแสงสีความอลังการของโชว์ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าทางวงอยู่ในช่วงทอปฟอร์มจิงๆ ซึ่งหลังจากออกดีวีดีตัวนี้ทางวงก็มีข่าวลือมามากมายว่าวงแตก แต่ทางวงก็ออกมาปฎิเสธทุกข่าวลือ โดยกล่าวว่าทางวงแค่แยกย้ายกันไปทำงานส่วนตัวของแต่ละคน โดย Richard ก็ไปทำวงของตัวเองชื่อ Emigrant โดยมีเพลง My world มาประกอบหนังเรื่อง Resident Evil 3 ไปให้หายคิดถึง นอกจากนี้นาย Till ก็ไปร่วมงานกับวง Apocalyptica ส่วนนาย Flake ก็กำลังเข็นอัลบั้มของวง Feeling B วงเก่าของตนออกมาวางขายอีกด้วย ซึ่งอนาคตจะเป็นยังไงก็ต้องติดตามวงดนตรีวงนี้กันต่อไปนะคับ

อยากรู้ข้อมูลเพิ่มเติมก็เข้าเว็บไซต์ของทางวงนะคับ หรือเว็บแฟนไซต์ ซึ่งมีเพียบเลย ผมขอแนะนำ www.herzeleid.com ซึ่งเข้าไปออ่านอยู่บ่อยๆคับ "ทำโดยแฟนพันธุ์แท้ของวงเพื่อแฟนพันธุ์แท้ของวงคับ" นอกจากภาพและประวัติแล้ว ยังมีโหลดเพลง แบบบูทเลค ที่หายากๆ รวมถึงเดโม ที่หาฟังไมได้แล้วด้วยคับ ลองเข้าไปดูคับ

ประวัติสมาชิก 9 หน้ากากผีบ้า Slipknot

Iowa ซึ่งคนส่วนใหญ่รู้จักกันในนาม "แปลกแยกไม่มีใครเสมือน." รัฐแห่งการเกษตรกรรม ซึ่งตั้งแต่ที่ Rock ’n Roll จรัสแสงในช่วงยุค50’s รัฐนี้ก็ไม่มีนักดนตรีระดับพระกาฬโผล่ขึ้นมาในสารบบดนตรี การให้ฉายาแก่นักดนตรีจากชื่อรัฐไม่เป็นที่ถกเถียงว่าเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่างไรก็ตามเก้ามนุษย์หน้ากากจาก Des Moines ก็เข้าไปประดับในวงการดนตรีกับหน้ากากที่ทำขึ้นเองและการรุกเร้ารีบร้อนผสมผสานแนวดนตรีกับการสำรอกอันรุนแรงในแนว L.A. neo metal, hiphop, และ Downtuned screeching horror ล้วนแล้วแต่อยู่เหนือความคาดหมายเช่นเดียวกับแนวของเรื่อง Clock work Orange (นวนิยายแนววิทยาศาสตร์ ที่นำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ เป็นเนื้อหาที่เด็กวัยสิบห้าปีทำสิ่งที่ทารุณโหดเหี้ยม ขอไม่พูดลงลึกถึงรายละเอียด)

คุณเคยคิดถึงเกี่ยวกับวงดนตรีฮาร์คอร์เมทั่ลที่หนักหน่วงผนวกซาวด์อันรกหูที่มีกำเนิดมาจาก "the middle of nowhere" กันบ้างไหมว่าจะมีซาวด์เช่นไร? “ความรุนแรงอันบ้าคลั่ง” เพิ่งจะเริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นเท่านั้น

0,1,2,3,4,5,6,7, และ 8 คือเลขประจำตัวของเหล่ายอดมนุษย์ เอ๊ย! มนุษย์หน้ากาก (ชื่อจริงในภาคของมนุษย์ปุถุชนทั่วไปเรียงตามหมายเลขคือดังนี้ ดีเจประจำวง ซิด วิลสัน, โคตรมือกลองร่างลูกหมา โจอี้ จอร์ดิสัน, จอมเกเรพอล เกรย์ในตำแหน่งมือเบส, เพอร์คัสชั่นจมูกยาวคริส เฟน, มือกีตาร์ร่างโย่งเจมส์ รู้ท, แซมเพลอร์เคลก โจนส์, ตัวตลกจอมบงการชอว์น คลาฮาน, มือกีต้าร์หมีควายมิก ทอมสัน, และคอรี่ เทย์เลอร์รับบทแผดเสียงคำรามตามลำดับ)

แต่ละคนมิเพียงแค่มาพร้อมกับภาพลักษณ์ และตัวเลขที่น่าสยองพองเกล้าขนหัวลุกเป็นที่สุดแล้ว แต่มาพร้อมกับพรสวรรค์อันอุกอาจในการกระทำชำเราบรรเลงบรรลัยเครื่องดนตรีของแต่ละคนผสมผสาน และขัดแย้งในภาคดนตรีของเก้ามนุษย์หน้ากาก ผู้ซึ่งถูกกล่าวขานว่าเป็นพระเจ้าและผู้ทำลายล้างของวงการโมเดิร์น เฮฟวี่ นี่คือ Slipknot และตอนนี้ด้วยอุปกรณ์และพรสวรรค์ที่พวกเขามีนั้น ณ เวลานี้โลกเราไม่มีทางเลือกใดๆแล้วเพราะการมาถึงของโคตรวงจากนรก Slipknot และคุณต้องตัดสินใจแล้วว่าจะรับมือกับมันอย่างไร

ฟอร์มวงกันในตอนครึ่งหลังปี1995 ทางวงได้ผ่านพ้นความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงสมาชิกดั้งเดิมและนี่ก็เป็นการมาถึง ซึ่งพวกเขาได้อธิบายไว้ว่าเป็น “กลุ่มครอบครัว” ทุกๆคนเป็นชาว Iowans ขนานแท้ ด้วยความที่ไม่ยะโสอวดดีและสถานที่ที่ลงตัวของพวกเขานั้น ทำให้ทางวงมีระยะห่างเรื่องเวลาเต็มที่ในการแก้ไขจุดผิดพลาดของความหนักกะโหลกป่วนโสตประสาทให้แจ่มแจ๋วและหนักแน่นยิ่งขึ้น ทางวงบันทึกเสียงและเผยแพร่อัลบั้มใต้ดินชุดแรกออกมาให้ผืนภิภพสะเทือนที่ชื่อ Mate Feed Kill Repeat

ในปี 1996 ในจำนวนจำกัด 1000 ชุดและชื่อเสียงของพวกเขาก็เสมือนกับลูกบอลที่ยิ่งหมุนยิ่งแรงไม่เคยหยุด ตั้งแต่ที่ดึงดูดความสนใจค่ายเพลงต่างๆ แต่สุดท้ายแล้ว Slipknot ได้ตัดสินใจเซ็นสัญญากับค่าย Roadrunner ค่ายเพลง IAM RECORDSของโปรดิวเซอร์ผู้โด่งดัง รอส โรบินสัน ในปี 1997 และเดินทางไปบันทึกเสียงอัลบั้มบนดินชุดแรกที่ใช้ชื่อเดียวกับวง Slipknot ที่ Indigo Ranch สตูดิโอใน L.A. กับโรบินสัน จากการระรัวเร็วรวดในบทเพลง Sic และ unforgiving bludgeon (ผู้แปลตึ๊บเลย) ของเพลง Surfacing ไปสู่ท่วงทำนองในแบบของ Sublime

ในเพลง Wait and Bleed และจังหวะขับเคลื่อนมนต์สะกดในเพลง Prosthetics บทสรุปสุดท้ายก็คือ 13 บทเพลงที่กอปรด้วยตัวอักษรแห่งความรักและความเกลียดชังไปสู่โลกภายนอก การทัวร์ที่จะบังเกิดตามมาได้รับการให้คำมั่นสัญญาว่า "จะไม่เหมือนเยี่ยงใครหน้าไหน จงเชื่อในสิ่งที่จะได้เห็น." ชอว์น กล่าวเช่นนั้น และนั่นคือคำชี้แจงโต้งๆถึงสิ่งที่จะมีปรากฏบนเวที

จนกระทั่งคุณได้สดับสรรพเสียงที่พวกเขาสร้างขึ้น แม้อาจจะดูไร้สาระที่มีสมาชิกอยู่ในวงถึงเก้าหน่อ แต่หัวหน้าคณะอย่างชอว์นก็อ้างว่า มันไม่มีทางอื่นแล้วนี่หว่าพวก “เมื่อ3ปีก่อนน่ะพวกเราต้องดูแลเรื่องตารางการฝึกฝนอย่างเข้มงวด ทุกคนต้องตรงต่อเวลาและต้องอยู่ที่นั่นตลอด และพวกเราก็ต้องซ้อมกันเป็นหมู่คณะ เพลงของพวกเรามันขึ้นอยู่กับทุกคน คือถ้าขาดใครซักคนหรือแม้แต่ DJ ก็ตาม เพลงๆนั้นก็คงไม่ใช่เพลงของเราเพราะหากไม่มีใครคนใดคนหนึ่งมันก็เหมือนกับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ในตัวเพลงหายไปมันหายไปจริงๆทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเสนอข้อคิดเห็น แม้แค่เพียงจุดเล็กๆที่จะเพิ่มมนต์ดำลงไปในตัวเพลง”

แม้ว่าจะมีภาพลักษณ์อันโดดเด่นในฐานะศิลปินแต่ทางวงก็ไม่เคยที่จะให้ภาพลักษณ์นั้นโดดเด่นกว่าตัวบทเพลง “พวกเราไม่เคยสวมชุดเหียกๆนี่แล้วพยายามทำให้คนเข้าหาหรอกเว้ย” มือกลองร่างลูกหมากล่าว เราทำไปก็เพราะ หลังจากถูกเหยียดหยามอย่างไม่ลดละ สำหรับการพยายามที่จะเล่นดนตรีหรือทำอะไรก็ตามใน Des Moines ไม่มีใครให้ฟักคุณหรอก ไม่มีใครมาใส่ใจอะไรทั้งนั้น ดังนั้นเราจึงไม่ไปใส่ใจกับชื่อหรือว่าหน้าตาของพวกเราหรอก เราใส่ใจเฉพาะตัวดนตรีและเพลงของเรา ดนตรีและเสียงเพลงคือสิ่งสำคัญที่สุด แม้ว่าเราจะมีชุดหมีใหญ่กับหน้ากาก และเหตุผลบางประการที่เจ๋งจั๋งหนับที่เราต้องใส่มันต่อๆไป ก็เพราะว่ามันได้กลายเป็นโลโก้ของเราไปแล้วเว้ย”

และตอนนี้หน้ากากนั้นเป็นเครื่องหมายการค้าของพวกเขาทั้งเก้าไปเสียแล้ว และมันคงยากแสนเข็ญที่จะให้พวกเขาปราศจากมันไป ชอว์นกล่าวว่า “หน้ากากคือมีส่วนช่วยเพิ่มลักษณะเฉพาะตัวของพวกเรา ทุกๆคนแยกแยะการกระทำกับความบ้าคลั่งออกจากกัน และพวกเราก็คอยปรับเปลี่ยนหน้ากากของพวกเราอยู่ตลอดเวลา มันเป็นอะไรที่สุดยอดรื่นเริงบรรเทิงจิตในเวลาที่เราใส่หน้ากากเป็นชั่วโมงๆ แล้วถอดมันออกหลังจากนั้น คุณเอ๊ย สิ่งแรกที่พวกเราจะสบถออกมาคือ “พระเจ้า…แ***ผ่อนคลายฉิบ!” แต่ก็นะ พวกเราก็จะสวมมันกลับแล้วเดินไปรอบๆหลังจากการแสดงสิ้นสุดลง“ และการนำเสนอภาพลักษณ์แสงสีและเวทีก็เปลี่ยนแปลงด้วยตลอดเวลามีเพียงสิ่งเดียวที่คงเดิม

นั่นคือดนตรีของพวกเขา “อั๊วคิดว่าสิ่งต่างๆ ใน Slipknot จะเปลี่ยนแปลงไปเสมอเพราะเราเติบโตขึ้นในทุกปี กับสิ่งที่คุณเปลี่ยนแปลงไปและบางสิ่งที่ Slipknot นั้นก้าวเดินเพื่อทำมันตลอดเวลา” มาดูเกี่ยวกับตัวเลขที่พวกเขาแปะไว้บนแขนเสื้อชุดหมีใหญ่กัน ตัวเลขเหล่านี้เป็นเลขแห่งความโชคดีของพวกเขา และมีความหมายความสำคัญกับแต่ละคนอย่างมากด้วย เมื่อพวกเขาเลือกมันแล้ว “ทุกๆ คนก็จะตกอยู่ในห้วงแห่งตัวเลข” ชอว์นกล่าว “มันไม่มีใครซักคนมานั่งเถียงกันเรื่องตัวเลขหรอกเพราะมันประสาทเกินว่ะ”

ต้องขอบคุณ รอส โรบินสัน ผู้ล่ำสันที่คอยดูแลอยู่เบื้องหลังในงานของ Slipknot, มุมองของทางวง ประสบความสำเร็จ ชอว์นรู้สึกว่าโรบินสันนี่แหล่ะคือแรงกระตุ้นและผลักดันอันเยี่ยมยอดในการทำอัลบั้มของวงให้สำเร็จ “พวกเรามันวงโคตรของโคตรวงสุดโฉดและมันก็ยากมากๆ ที่หาใครซักคนที่กล้าจะย่างก้าวเข้ามาสู่อาณาจักรสุดป่าเถื่อนในเวลาที่เราเล่นกันเป็นหมู่คณะ” และ รอสก็พาเราไปสู่ห้องอัดเสียงและก็ตั้งเป้าหมายทะลุกลางปล้องขึ้นมา ตัวเขาเองก็ทำตามเป้าหมายนั้น เขาตื่นไปที่ห้องอัดเสียงตั้งใจทำงานทุกวันจนประสบผลสำเร็จ ดังนั้นเขาคือคนที่ทำให้อัลบั้มของเราเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา

เมื่อค่าย Reps และ Robinson เดินทางมาชมความสุดยอดในการแสดงสดของวงที่ Des Moines หลังจบโชว์สมาชิกแต่ละคนเลือกที่จะมุ่งไปยังคลับเปลื้องผ้าในเมืองมากกว่าจะเอนเตอร์เทนผู้ชม ภายหลังจากที่เจ้าบ้านกล่าวทักทายแขกเสร็จทางวงก็ถูกเผาจนเกรียม และตอนนี้ก็ไม่มีใครในวงต้องการจะย่างก้าวเข้าไปในคลับเปลื้องผ้านั้นอีกเลย “ไอ้คลับโป๊เฮงซวยเอ้ย! มันบัดซบมากที่จะพาใครไปที่คลับกระจอกๆอย่างนั้น เรามีอย่างอื่นที่ต้องทำมากกว่าเว้ย” ความ “เหียก” ก็บรรจุในกล่องเล็กๆโก้เก๋นามว่า Slipknot เสียงอันไม่ลงรอยกันของ “ความแปลกแยกไม่มีใครเสมอเหมือน” ภูมิประเทศที่ Slipknot อาจจะเป็นได้ทั้งตัวตลกหรือจอมราชัณย์ในสายตาของทุกคน

- Corey Taylor..นักร้องนำ... เกิด 8 ธันวาคม ค.ศ. 1973 (ปัจจุบันอายุ 34 ปี) ความสามารถด้านดนตรี : นักร้อง / กีต้าร์ / เบส ประวัติเล็กน้อยๆ 1.Corey เริ่มต้นการประกอบอาชีพด้านดนตรีด้วยการร้องเพลงกับวงดนตรีต่างๆในรัฐไอโอว่า 2.เคยร้องเพลงร่วมกับวง Progressive-Rock ชื่อดัง Dream Theater(ตายละวา นึกขึ้นได้ผมยังไม่คืนแผ่นให้เพื่อนเลย - -) ในอัลบั้ม Systematic Chaos ปี 2007 3.วงดนตรีโปรดของ Corey คือ New York Dolls , Korn , Black Sabbath , Hanoi Rocks,Mötley Crüe และวง Kiss 4.Corey ยังเป็นคนเขียนบทความ Rock Sound ในนิตยสาร UK Rock Magazines ซึ่งออกเป็นรายเดือน 5.เป็น Producer ของวง Walls of Jericho's 6.เป็นผู้สนับสนุนวงดนตรี Apocalyptica แนว Cello-Metal จากฟินแลนด์ ใน single "I'm Not Jesus" และยังเป็นผู้สนับสนุนวงดนตรีอื่นๆมากมาย ชีวิตส่วนตัว Corey เติบดตมาในชีวิตที่ยากจน ลำบาก โดยมีแม่เป็นผู้เลี้ยงดู เขาไม่เคยได้พบพ่อจนกระทั่งเขาอายุ 32 ปี แต่เขาก็ได้เสริมสร้างมิตรภาพอันดีกับพ่อของเขา ปัจจุบันCorey หย่าขาดกับภรรยา โดยมีบุตรชื่อ Griffin (กริฟฟิน) ด้วย ตามร่างกายของ Corey มีรอยสักมากมายเกี่ยวกับครอบครัวของเขา

Sid Wilson ตัวซนประจำวง...สมาชิกหมายเลข 0 ของ Slipknot เกิดเมื่อวันที่ 20 มกราคม ค.ศ.1978 (ปัจจุบันอายุ 30 ปี) ความสามารถด้านดนตรี : Turntables อื่นๆ 1.Wilson มีชื่อเสียงโด่งดังเพราะการกระทำที่บ้าระห่ำระหว่างการแสดง 2.ชอบหาเรื่องทะเลาะ(เล่นๆล่ะมั้ง) กับ Clown 1 ในสมาชิกของวงระหว่างการแสดง 3.เคยจุดไฟเผาตัวเองด้วย (ระหว่างแสดงคอนเสิร์ต) 4.ชอบกระโดดใส่คนดู 5.อายุน้อยที่สุดในวงแล้วครับ 6.มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า DJ Starscream 7.ชาวญี่ปุ่นจำนวนไม่น้อยเป็นแฟนคลับของ Sid Wilson 8.เคยร่วมมือกับ Hiroshi Kyonoนักร้อง แห่งวง The Mad Capsule Markets ในเพลง Hakai ซึ่งเป็นเพลงซาวด์แทรกประกอบภาพยนตร์ชื่อดัง Deathnote

Joey Jordison มือกลองร่างเล็ก(ก็คือเตี้ยนั่นแหละ)...สมาชิกวงคนโปรดของผม ชื่อโดยกำเนิด ; Nathan Jonas Jordison วันเกิด ; 26 เมษายน 1975ที่โรงพยาบาล Mercy (ปัจจุบันอายุ 32 ปี) ความสามารถด้านดนตรี : กลองชุด / กีต้าร์ / เบส / ร้องเพลง อื่นๆ 1.ช่วงมัธยม Joey เป็นมือกลองในวงดนตรี รวมทั้งยังเล่นกลองชุดในดนตรีแนว jazz อีกด้วย 2.หลายๆคนยอมรับว่า Joey ตีกลองเก่งมาก แต่รู้ไหมว่าเครื่องดนตรีแรกเริ่มของโจอี้คือ กีต้าร์ ไม่ใช่กลอง 3.หลังจบ มัธยม Joey เริ่มสนใจดนตรีแนว Rock โดยเขามีวงโปรดคือ Slayer, Kiss และ Metallica 4.แรงบันดาลใจของ Joey คือ Eric Carr มือกลองวง Kiss กับ Lars Ulrich แห่ง Metallica 5.เคยทำงานในปั๊มน้ำมันมาก่อน ในขณะนั้นก็รับเล่นกลองในวงแนว Metal หลายๆวง 6.เคย Remix เพลง "Fight Song" ให้ Marilyn Manson 7.เป็นมือกีต้าร์ให้วง Murderdolls วงแนว Metal/Horror-Punk 8.หน้ากากของJoey คือ หน้ากาก Kabuki (คาบุกิ) ของประเทศญี่ปุ่น ได้รับแรงบันดาลใจจากแม่ของเขา โดยในคืนวันฮาโลวีนวันหนึ่ง Joey กลับบ้านดึกมาก และพบแม่ของเขาใส่หน้ากากนี้ยืนรออยู่..Joey ถึงกับตกใจในสีหน้าอันไร้ความรู้สึกของหน้ากากนั้น และได้ใช้มันเป็นหน้ากากประจำตัวของเขาในที่สุด 9.Joey ออกแบบหน้ากากของเขาไว้กว่า 100 แบบ

Paul Gray มือเบส...(อันนี้หารูปเดี่ยวไม่เจอ) สมาชิกหมายเลข 2 ชื่อจริง : Paul Dedrick Gray เกิด : 8 เมษายน 1972 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี) เครื่องดนตรี : เบส อื่นๆ 1.เคยอยู่ในวง Anal Blast, Vexx, Body Pit, Inveigh Catharsi 2.เคยร้อง Back-up ให้ในเพลง Spit It Out , Get This , People = S h i t , Disasterpiece , Three Nil , Pulse Of The Maggots และ Before I Forget 3.เมื่อไหร่ที่ Corey นักร้องนำร้องเพลงไม่ไหว ก็มี Paul Grey นี่แหละมาช่วยร้องให้ 4.เคยโดนจับข้อหาขับขี่ขณะอยู่ภายใต้อิทธิพลของยาเสพติด (เมายาแล้วขับอ่ะแหละครับ แปลซะเว่อร์เลยตู) ในเดือนมิถุนายน ปี 2003 5.หน้ากากของ Paul ได้แรงบันดาลใจจากตัวละครในเรื่อง Hannibal

Chris Fehn มือ Percussion จมูกยาว ชื่อจริง : Christopher Michael Fehn เกิด : 24 กุมภาพันธ์ 1972 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี) เป็นสมาชิกหมายเลข 3 ของวง Slipknot อื่นๆ 1.เคยเป็นนักฟุตบอลสมัยที่เรียนอยู่ 2.เล่นกอล์ฟเก่งมากๆ 3.แล้วแถมยังเล่นไพ่**กเกอร์เก่งอีกตะหาก 4.เป็นแฟนเพลงแนว Norwegian Black Metal โดยมี วง Dimmu Borgir เป็นวงโปรด 5.มีหน้ากากแค่ 5 แบบ ดีไซน์เหมือนกัน ต่างที่สี 6.เป็นหน้ากากสไตล์ Tengu ส่วนจมูกของหน้ากากจะยาวประมาณ 19 ซม.เสมอ 7.Fehn เคยให้สัมภาษณ์ว่า"หน้ากากนี่ใส่เป็นนานๆกลิ่นจะเหม็นมาก กลิ่นเหมือนอ้วก เหงื่อ และก็ ฉี่" - - (กลิ่นรวมความซกมกจริงๆ)

James Root มือกีต้าร์ หมายเลข 4 เกิด : 2 ตุลาคม 1971 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี) อื่นๆ 1.สูงประมาณ 190 ซม. กว่าๆ สูงที่สุดในวงแล้วครับ 2.เคยทำงานเป็นพนักงานบนรถโดยสารแล้วก็พนักงานเสิร์ฟอาหารก่อนจะมาเป็น 1 ในวง Slipknot 3.มาเป็นมือกีต้าร์แทน Josh Brainard มือกีต้าร์คนเก่าของ slipknot 4.กำลังคบกับLacuna Coil ทั้งคู่พบกันในปี 2004 5.แต่ก่อนย้อมผมสีชมพู - - 6.ใช้หน้ากาก Jester (ตัวตลก) เนื่องจาก "เป้นสิ่งที่แทนบุคลิกนิสัยของตัวเอง"

Craig "133" Jones (หัวหนาม) ชื่อจริง : Craig Michael Jones เกิด 11 กุมภาพันธ์ 1972 (ปัจจุบันอายุ 36 ปี) เครื่องดนตรี : Keyboard , MIDI Controller , Guitar อื่นๆ 1.บ้าเล่นเกม 2.ที่เห้นเป็นหนามๆบนหน้ากากน่ะ ตะปู ไม่ก็ เข็มทั้งนั้นยาวประมาณ 9 นิ้ว 3.เคยเกิดอุบัติเหตุเล็กๆอันเนื่องมาจาหน้ากากของเขา คือ ผมของแฟนเพลงคนนึงเข้าไปพันอยู่กับตะปูบนหน้ากาก - - แต่ก็ใช้เวลาไม่นานในการแกะออก 4.เป็นคนดูแลเว็บไซต์ของวง Slipknot 5.แฟนเพลงมองว่าเป็นคนที่ลึกลับที่สุดในวง ตอนสัมภาษณ์ก็ไม่ค่อยพูดอะไร แถมยังชอบกลับบ้านเร็วกว่าเพื่อน เวลาคอนเสิร์ตเลิก 6.ระหว่างการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่ง Craig Jones พูดเพียงประโยคเดียว คือ "ถ้าผมไม่เป็นสมาชิกในวง Slipknot ป่านนี้ผมก็คงเป็น ฆาตกรโรคจิต" ผลลัพธ์คือมีคนส่งจดหมายเข้าไปต่อว่าเขาเพียบ 7.มีข่าวลือว่าโจนส์ระบุตัวเองว่าเป็น "คนผอม และมีบุคลิกของฆาตกรโรคจิต" 8.เพื่อนที่ดีที่สุดของเขาคือ คอมพิวเตอร์ 9.เคยมีคนถามว่า "หลังบ้านคุณน่ะ คุณฝังศพไว้กี่ศพ" Craig Jones ไม่เคยตอบคำถามนี้.... **นี่บุคลิกน่ากลัวชะมัด - -

Shawn "Clown" Crahan ตัวตลกสุดสยอง สมาชิกหมายเลข 6 ชื่อจริง : Michael Shawn Crahan เกิด : 24 กันยายน 1969 (อายุ 38 ปี) เครื่องดนตรี : Percussion เป็น Back-Up ให้มือกลอง Joey Jordison คู่กับ Chris Fehn คนนี้ประวัติสั้นมาก... 1.พ่อแม่ของ Shawn เป็นคนให้ทุน(เงิน)แก่วง Slipknot ช่วงแรกๆ ซึ่งเขาบอกว่าเขารู้สึกเคารพพ่อแม่เขามาก 2.ในช่วงปี 90 เคยมีปัญหาเรื่อง การดื่มเหล้า ติดเหล้างอมแงม จนเกือบฆ่าตัวตาย 3.แต่ก็ไม่ฆ่าตัวตาย เพราะเขาได้พบกับ Chantal ภรรยาของเขา โดยเขาให้สัมภาษณ์ว่าภรรยาของเขาเว่าเปรียบเสมือน "ผู้ช่วยเหลือและฮีโร่" 4.มีลูกสาว 2 คน และ ลูกชาย 2 คน

Mick Thomson มือกีต้าร์ หมายเลข 7 ชื่อจริง : Mickael Gordon Thomson เกิด : 3 พฤศจิกายน 1973 (อายุ 34 ปี) อื่นๆ 1.เคยเป็นสมาชิกวง Bodypit ก่อนมาเป็นมือกีต้าร์วง Slipknot 2.ตามความเชื่อส่วนบุคคล นามสกุลของเขาสะกดว่า Thomson ไม่ใช่ Thompson 3.เป็นสมาชิกหมายเลข 7 ของ Slipknot แล้วดูท่าทางจะชอบเอามากๆเสียด้วยเพราะ เขาถึงกับสักเลข 7 ไว้บนแขน มีลายบนกีต้ารื บนนู้นบนนี้เต็มไปหมด 4.สักรูปกางเขนไว้ช่วงบนของหลัง จบข่าว น้อยกว่ารายบนอีก - -

การ Backup Database MySQL ด้วย mysqldump

การ Backup Database MySql ผมว่าทำได้ค่อนข้างง่ายและสะดวกดี นอกจากนี้ยังสามารถดูผลการ backup ได้ง่ายๆ ด้วยเนื่องจากจะถูกสร้างออกมาเป็น SQL statement ที่สามารถอ่านได้ไม่ยากครับ จริงๆการทำการ backup อาจจะใช้ phpMyAdmin ทำก็ได้ แต่หลังจากผมลองใช้ mysqldump ดูแล้ว พบว่าการใช้ mysqldump เร็วกว่ากันแบบเทียบไม่ติด และยังสามารถทำให้เป็น auto ก็ได้โดยใช้ร่วมกัน cron บน unix ครับ ก่่อนอื่นมาดู format ของ command ดู

mysqldump --user [username] --password=[password] [databasename] > [dump file]

โดย --user [username] ก็ใช้ใส่ username ของ database เข้าไปครับ หรือ password ก็ให้ใส่ password ที่ใช้กับ username ที่ระบุเข้าไปครับ หากไม่มี username และ password ก็ไม่ต้องใส่เข้าไปครับ ส่วน databasename ก็คือชื่อ database ที่เราจะทำการ backup ครับ dump file ก็เป็น file backup ที่เราจะเก็บเอาไว้ครับ ลองดูตัวอย่าง เช่น database ชื่อ abc , username เป็น user1 และ password เป็น pass1 ให้เก็บไว้ใน dump file ชื่อ back.sql ก็ใช้ comcommand ได้ดังนี้ครับ

mysqldump --user user1 --password=pass1 abc > back.sql

จะเห็นว่าไม่ยากเลยนะครับ หรือหากเป็น database ชื่อ abc แต่ไม่ได้สร้าง username กับ password ไว้ และให้เก็บไว้ใน file back.sql ก็สามารถระบุได้ดังนี้ครับ

mysqldump abc > back.sql

ครับเมื่อเรา backup database กันได้แล้วคราวนี้มาดูวิธีการ restore กันบ้างครับ วิธีการก็ไม่ยากครับ ใช้คำสั่ง mysql ได้เลยครับ โดยมี format ประมาณนี้ครับ

mysql [database name] < [backup file name]

เช่นเราจะเอาคืนจาก file ที่เรา backup ไว้เมื่อกี้ ก็

mysql abc2 < back.sql

หรือหากเรามี username กับ password ด้วยก็เหมือนกันครับคือ

mysql --user user1 --password=pass1 abc2 < back.sql

ซึ่งจะเห็นว่าผม restore กลับมาที่ database อีกตัวชื่อ abc2 ครับ ซึ่งก่อนจะ restore ได้ก็ต้องสร้าง database ตัวนี้ขึ้นมาก่อนนะครับ

เอาเป็นว่าผมจบแค่นี้ก่อนครับ จริงๆยังมี option ของ mysqldump อีกนิดหน่อย แต่คิดว่าคงน่าจะไม่ได้ใช้เท่าไหร่ ทำ backup แค่นี้ก็พอครับ

Credit : http://www.expert2you.com/view_article.php?art_id=772

วันอังคารที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2552

รวมคำสั่ง Run ที่ใช้ทั้งหมด

เรียกโปรแกรม Accessibility Options —> access.cpl
เรียกโปรแกรม Add Hardware —> hdwwiz.cpl
เรียกโปรแกรม Add/Remove Programs —> appwiz.cpl
เรียกโปรแกรม Administrative Tools control —> admintoolsตั้งค่า Automatic Updates —> wuaucpl.cpl
เรียกโปรแกรม Bluetooth Transfer Wizard —> fsquirt
เรียกโปรแกรม เครื่องคิดเลข (Calculator) —> calc
เรียกโปรแกรม Certificate Manager —> certmgr.msc
เรียกโปรแกรม Character Map —> charmap
เรียกโปรแกรม ตรวจสอบดิสก์ (Check Disk Utility) —> chkdsk
เรียกดูคลิปบอร์ด (Clipboard Viewer) —> clipbrd
เรียกหน้าต่างดอส (Command Prompt) —> cmd
เรียกโปรแกรม Component Services —> dcomcnfg
เรียกโปรแกรม Computer Management —> compmgmt.msc
เรียกดู/ตั้ง เวลาและวันที่ —> timedate.cpl
เรียกหน้าต่าง Device Manager —> devmgmt.msc
เรียกดูข้อมูล Direct X (Direct X Troubleshooter) —> dxdiag
เรียกโปรแกรม Disk Cleanup Utility —> cleanmgr
เรียกโปรแกรม Disk Defragment —> dfrg.msc
เรียกโปรแกรม Disk Management —> diskmgmt.msc
เรียกโปรแกรม Disk Partition Manager —> diskpart
เรียกหน้าต่าง Display Properties control desktop —> desk.cpl
เรียกหน้าต่าง Display Properties เพื่อปรับสีวินโดวส์ —> control color
เรียกดูโปรแกรมช่วยแก้ไขปัญหา (Dr. Watson) —> drwtsn32
เรียกโปรแกรมตรวจสอบไดร์ฟเวอร์ (Driver Verifier Utility) —> verifier
เรียกดูประวัติการทำงานของเครื่อง (Event Viewer) —> eventvwr.msc
เรียกเครื่องมือตรวจสอบไฟล์ File Signature Verification Tool —> sigverif
เรียกหน้าต่าง Folders Options control —> folders
เรียกโปรแกรมจัดการ Fonts —> control fonts
เปิดไปยังโฟลเดอร์ Fonts (Fonts Folder) —> fonts
เรียกเกม Free Cell —> freecell
เปิดหน้าต่าง Game Controllers —> joy.cpl
เปิดโปรแกรมแก้ไข Group Policy (ใช้กับ XP Home ไม่ได้) —> gpedit.msc
เรียกโปรแกรมสร้างไฟล์ Setup (Iexpress Wizard) —> iexpress
เรียกโปรแกรม Indexing Service —> ciadv.msc
เรียกหน้าต่าง Internet Properties —> inetcpl.cpl
เรียกหน้าต่าง Keyboard Properties —> control keyboard
แก้ไขค่าความปลอดภัย (Local Security Settings) —> secpol.msc
แก้ไขผู้ใช้ (Local Users and Groups) —> lusrmgr.msc
คำสั่ง Log-off —> logoff
เรียกหน้าต่าง Mouse Properties control mouse main.cpl
เรียกหน้าต่าง Network Connections control netconnections —> ncpa.cpl
เรียกหน้าต่าง Network Setup Wizard —> netsetup.cpl
เรียกโปรแกรม Notepad —> notepad
เรียกคีย์บอร์ดบนหน้าจอ (On Screen Keyboard) —> osk
เรียกหน้าต่าง Performance Monitor —> perfmon.msc
เรียกหน้าต่าง Power Options Properties —> powercfg.cpl
เรียกโปรแกรม Private Character Editor —> eudcedit
เรียกหน้าต่าง Regional Settings —> intl.cpl
เรียกหน้าต่าง Registry Editor —> regedit
เรียกโปรแกรม Remote Desktop —> mstsc
เรียกหน้าต่าง Removable Storage —> ntmsmgr.msc
เรียกหน้าต่าง Removable Storage Operator Requests —> ntmsoprq.msc
เรียกดู Policy ที่ตั้งไว้ (ใช้กับ XP Home ไม่ได้) —> rsop.msc
เรียกหน้าต่าง Scanners and Cameras —> sticpl.cpl
เรียกโปรแกรม Scheduled Tasks control —> schedtasks
เรียกหน้าต่าง Security Center —> wscui.cpl
เรียกหน้าต่าง Services —> services.msc
เรียกหน้าต่าง Shared Folders —> fsmgmt.msc
คำสั่ง Shuts Down —> shutdown
เรียกหน้าต่าง Sounds and Audio —> mmsys.cpl
เรียกเกม Spider Solitare —> spider
แก้ไขไฟล์ระบบ (System Configuration Editor) —> sysedit
แก้ไขการตั้งค่าระบบ (System Configuration Utility) —> msconfig
ตรวจสอบระบบด้วย System File Checker Utility (เริ่มทันที) —> sfc /scannow
ตรวจสอบระบบด้วย System File Checker Utility (เริ่มเมื่อบู๊ต) —> sfc /scanonce
เรียกหน้าต่าง System Properties —> sysdm.cpl
เรียกหน้าต่าง Task Manager —> taskmgr
เรียกหน้าต่าง User Account Management —> nusrmgr.cpl
เรียกโปรแกรม Utility Manager —> utilman
เรียกโปรแกรม Windows Firewall —> firewall.cpl
เรียกโปรแกรม Windows Magnifier —> magnify
เรียกหน้าต่าง Windows Management Infrastructure —> wmimgmt.msc
เรียกหน้าต่าง Windows System Security Tool —> syskey
เรียกตัวอัพเดตวินโดวส์ (Windows Update) —> wupdmgr
เรียกโปรแกรม Wordpad —> write

By KaoNoon

Zidobit

ท่านใดปล่อยต่อขอเครดิตด้วยนะ

100 keyboard shortcuts

100 keyboard shortcuts
CTRL+C (Copy)
CTRL+X (Cut)
CTRL+V (Paste)
CTRL+Z (Undo)
DELETE (Delete)
SHIFT+DELETE (Delete the selected item permanently without placing the item in the Recycle Bin)
CTRL while dragging an item (Copy the selected item)
CTRL+SHIFT while dragging an item (Create a shortcut to the selected item)
F2 key (Rename the selected item)
CTRL+RIGHT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next word) CTRL+LEFT ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous word) CTRL+DOWN ARROW (Move the insertion point to the beginning of the next paragraph) CTRL+UP ARROW (Move the insertion point to the beginning of the previous paragraph) CTRL+SHIFT with any of the arrow keys (Highlight a block of text)
SHIFT with any of the arrow keys (Select more than one item in a window or on the desktop, or select text in a document)
CTRL+A (Select all)
F3 key (Search for a file or a folder)
ALT+ENTER (View the properties for the selected item)
ALT+F4 (Close the active item, or quit the active program)
ALT+ENTER (Display the properties of the selected object)
ALT+SPACEBAR (Open the shortcut menu for the active window)
CTRL+F4 (Close the active document in programs that enable you to have multiple documents open simultaneously)
ALT+TAB (Switch between the open items)
ALT+ESC (Cycle through items in the order that they had been opened)
F6 key (Cycle through the screen elements in a window or on the desktop)
F4 key (Display the Address bar list in My Computer or Windows Explorer)
SHIFT+F10 (Display the shortcut menu for the selected item)
ALT+SPACEBAR (Display the System menu for the active window)
CTRL+ESC (Display the Start menu)
ALT+Underlined letter in a menu name (Display the corresponding menu)
Underlined letter in a command name on an open menu (Perform the corresponding command) F10 key (Activate the menu bar in the active program)
RIGHT ARROW (Open the next menu to the right, or open a submenu)
LEFT ARROW (Open the next menu to the left, or close a submenu)
F5 key (Update the active window)
BACKSPACE (View the folder one level up in My Computer or Windows Explorer)
ESC (Cancel the current task)
SHIFT when you insert a CD-ROM into the CD-ROM drive (Prevent the CD-ROM from automatically playing)
Dialog Box Keyboard Shortcuts CTRL+TAB (Move forward through the tabs) CTRL+SHIFT+TAB (Move backward through the tabs)
TAB (Move forward through the options)
SHIFT+TAB (Move backward through the options)
ALT+Underlined letter (Perform the corresponding command or select the corresponding option)
ENTER (Perform the command for the active option or button)
SPACEBAR (Select or clear the check box if the active option is a check box)
Arrow keys (Select a button if the active option is a group of option buttons)
F1 key (Display Help)
F4 key (Display the items in the active list)
BACKSPACE (Open a folder one level up if a folder is selected in the Save As or Open dialog box)
Microsoft Natural Keyboard Shortcuts Windows Logo (Display or hide the Start menu)
Windows Logo+BREAK (Display the System Properties dialog box)
Windows Logo+D (Display the desktop)
Windows Logo+M (Minimize all of the windows)
Windows Logo+SHIFT+M (Restore the minimized windows)
Windows Logo+E (Open My Computer)
Windows Logo+F (Search for a file or a folder)
CTRL+Windows Logo+F (Search for computers)
Windows Logo+F1 (Display Windows Help)
Windows Logo+ L (Lock the keyboard)
Windows Logo+R (Open the Run dialog box)
Windows Logo+U (Open Utility Manager)
Accessibility Keyboard Shortcuts Right SHIFT for eight seconds (Switch FilterKeys either on or off)
Left ALT+left SHIFT+PRINT SCREEN (Switch High Contrast either on or off)
Left ALT+left SHIFT+NUM LOCK (Switch the MouseKeys either on or off)
SHIFT five times (Switch the StickyKeys either on or off)
NUM LOCK for five seconds (Switch the ToggleKeys either on or off)
Windows Logo +U (Open Utility Manager)
Windows Explorer Keyboard Shortcuts END (Display the bottom of the active window)
HOME (Display the top of the active window)
NUM LOCK+Asterisk sign (*) (Display all of the subfolders that are under the selected folder) NUM LOCK+Plus sign (+) (Display the contents of the selected folder)
NUM LOCK+Minus sign (-) (Collapse the selected folder)
LEFT ARROW (Collapse the current selection if it is expanded, or select the parent folder)
RIGHT ARROW (Display the current selection if it is collapsed, or select the first subfolder) Shortcut Keys for Character Map After you double-click a character on the grid of characters, you can move through the grid by using the keyboard shortcuts:
RIGHT ARROW (Move to the right or to the beginning of the next line)
LEFT ARROW (Move to the left or to the end of the previous line)
UP ARROW (Move up one row)
DOWN ARROW (Move down one row)
PAGE UP (Move up one screen at a time)
PAGE DOWN (Move down one screen at a time)
HOME (Move to the beginning of the line)
END (Move to the end of the line)
CTRL+HOME (Move to the first character)
CTRL+END (Move to the last character)
SPACEBAR (Switch between Enlarged and Normal mode when a character is selected)
Microsoft Management Console (MMC) Main Window Keyboard Shortcuts
CTRL+O (Open a saved console)
CTRL+N (Open a new console)
CTRL+S (Save the open console)
CTRL+M (Add or remove a console item)
CTRL+W (Open a new window)
F5 key (Update the content of all console windows)
ALT+SPACEBAR (Display the MMC window menu)
ALT+F4 (Close the console)
ALT+A (Display the Action menu)
ALT+V (Display the View menu)
ALT+F (Display the File menu)
ALT+O (Display the Favorites menu)
MMC Console Window Keyboard Shortcuts CTRL+P (Print the current page or active pane)
ALT+Minus sign (-) (Display the window menu for the active console window)
SHIFT+F10 (Display the Action shortcut menu for the selected item)
F1 key (Open the Help topic, if any, for the selected item)
F5 key (Update the content of all console windows)
CTRL+F10 (Maximize the active console window)
CTRL+F5 (Restore the active console window)
ALT+ENTER (Display the Properties dialog box, if any, for the selected item)
F2 key (Rename the selected item)
CTRL+F4 (Close the active console window. When a console has only one console window, this shortcut closes the console)
Remote Desktop Connection Navigation
CTRL+ALT+END (Open the Microsoft Windows NT Security dialog box)
ALT+PAGE UP (Switch between programs from left to right)
ALT+PAGE DOWN (Switch between programs from right to left)
ALT+INSERT (Cycle through the programs in most recently used order)
ALT+HOME (Display the Start menu)
CTRL+ALT+BREAK (Switch the client computer between a window and a full screen)
ALT+DELETE (Display the Windows menu)
CTRL+ALT+Minus sign (-) (Place a snapshot of the active window in the client on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing PRINT SCREEN on a local computer.)
CTRL+ALT+Plus sign (+) (Place a snapshot of the entire client window area on the Terminal server clipboard and provide the same functionality as pressing ALT+PRINT SCREEN on a local computer.)
Microsoft Internet Explorer Navigation
CTRL+B (Open the Organize Favorites dialog box)
CTRL+E (Open the Search bar)
CTRL+F (Start the Find utility)
CTRL+H (Open the History bar)
CTRL+I (Open the Favorites bar)
CTRL+L (Open the Open dialog box)
CTRL+N (Start another instance of the browser with the same Web address)
CTRL+O (Open the Open dialog box, the same as CTRL+L)
CTRL+P (Open the Print dialog box)
CTRL+R (Update the current Web page)
CTRL+W (Close the current window)

END.